Korean Air
มีเวลาว่างเขียนต่อสักที ก่อนจะเตรียมตัวหาข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่น เขียนเกาหลีให้เสร็จก่อน ไม่งั้นจะดองกันไปอีกนาน
เอ๋เดินทางคืนวันที่ 21 ไฟล์ท 10:35 ตอนเช้าตื่นแต่เช้าไปทำงานแล้วขอนายออกก่อนเวลา 15 นาที ส่วนใหญ่เค้าไม่ว่าอะไรนะ เพราะเราทำงานเกินเวลาบ่อยๆ อยู่แล้ว รีบกลับมาอาบน้ำ สระผมก่อน เพราะตอนเช้าจะไม่มีเวลา แต่กว่าจะถึงบ้านก็ทุ่มครึ่งละ รถไฟฟ้าแน่น ต้องรอขบวนใหม่ ปกติไม่เคยกลับบ้านไวหรอก คนพลุกพล่านเกิ๊น นี่ขนาดรีบออกแล้ว ยังใช้เวลา ชม. ครึ่ง มีเวลาอาบน้ำแต่งตัวประมาณ ครึ่ง ชม. สระผมเสร็จทาครีมแล้วออกมาเลย หน้าไม่แต่ง กะนอนบนเครื่องเต็มที่
มาถึง Changi Terminal 2 ที่มักจะเป็นสายการบินไฮโซ ไอ้เราก็เคยบินแต่ถูกๆ ไป Terminal 1 แต่ไปๆ มาๆ Terminal 1 ใหญ่กว่าแฮะ อันนี้เล็กนิดเดียว เดินแป๊บเดียวก็ถึงเกท มาถึงหิวซ่กเลย สั่งซูชิมากินเล่นรองท้องก่อน
ที่เลือก Korean Air เพราะอยากรู้ว่าสายการบินประจำชาติเค้าเป็นยังไง (จะบริการห่วยเหมือนบ้านเรามั้ย ฮ่าๆๆๆ) แต่ไม่เลยบริการดีมาก แอร์สวยปิ๊งปั้ง ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคน (เอ๊ะหรือเราเคยชินแต่แอร์เอเชียหน้าเป็นตรูดหว่า) สจ๊วตมีแค่คนเดียวแต่สูงหล่อระดับพรีเมี่ยม ภาษาอังกฤษคล่องทุกคน เค้าจะคอยเดินตรวจตลอดว่ามีใครอยากได้อะไรมั้ย ไม่รู้สึกเลยว่ากำลังบิน Economy ที่นั่งก็กว้าง สะโพก 38 ยังมีที่นั่งเหลือวางของได้อีกว่างั้น สบายมากมาย
เครื่องบินไฮโซ มีทีวีให้ดูหนังฟังเพลง จอใหญ่ด้วยนะ
หน้าสด คิ้วไม่มี ยังจะกล้าเอาหน้าออกสื่ออีกนะ
บินไปได้ ชม.ครึ่ง เค้าเสิร์ฟอาหารแล้วอ่ะ เอ้ย นึกว่าจะเสิร์ฟมื้อเช้า จำเมนูไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง เพราะตั้งใจจะกินบิบิมบับอยู่แล้ว บิบิมเนื้อกินกับไวน์แดงเข้ากันดีแท้ อิอิ แพ็คเกจบิบิมน่ารักดี โคชูจังมาเป็นหลอด เผ็ดน้อยไปนิดแต่ก็อร่อยนะ กินซะอิ่มจุกเลย (ยังอิ่มซูชิอยู่)
ขอไวน์ 2 แก้ว กะว่าจะได้หลับสนิท แต่ไม่เลยนอนได้ 2 ชม.เอง มีเสียงเด็กอ่อนร้องเป็นระยะ ตอน Check-in มัวแต่ดู Window Seat ลืมไปว่ามันใกล้เปลเด็ก แต่แอร์เค้าก็คอยช่วยอำนวยความสะดวกให้พ่อแม่เวลาเด็กร้องนะ ท่าทางจะชำนาญในการดูแลเด็ก มาทีนึงเด็กเงียบทีนึง (เด็กผู้ชาย เห็นแอร์สวยไมไ่ด้สินะ ฮ่าๆๆ) เอาเหอะเดี๋ยวไปนอนต่อบนรถไฟก็ได้ ก็นั่งดูหนังไป ดูขุ่นแม่ Maleficent เชยใช่ป่ะ ไม่เคยดูนางเลย ดูไม่จบหรอก เพราะพอประมาณ ชม.ครึ่งก่อนถึง เครื่องจะตกหลุมอากาศบ่อย มีประกาศขัดจังหวะหนังบ่อยมาก เลยขี้เกียจดู โดยเฉพาะ ชม.สุดท้าย มีแรงๆ ครั้งนึง มันหล่นวูบ ตัวกระเด้งจากสายรัดเกือบฟุต (ลืมรัดให้แน่นขึ้นอ่ะ) ใจหายว๊าบ จุกเลยอ่ะ ดมยาดมตลอดจนเครื่องลง ทีแรกว่าจะแต่งหน้าก่อนลงเครื่อง แต่แต่งไม่ได้เครื่องสั่นตลอด เหอๆ
เครื่องถึงตอน 05:55 ตรงเวลาเป๊ะไม่ดีเลย์ เดินไม่ไกลเท่าไหร่ก็ถึง ตม. จริงๆ ตม.ใกล้เกทก็มีนะ แต่ยังไม่เปิดมันเช้าจัด ต้องเดินไปอีกนิดนึง พยายามเลือก ตม. อุปป้า น้องๆ บอกไว้ว่าอย่าเข้าช่องอาจุมม่าเพราะเคี่ยวมาก แหม่ๆๆๆ ไม่ต้องบอกก็เลือกอุปป้าอยู่แล้วล่ะ คริๆๆๆ ใครว่า ตม.เกาหลี หน้าบูดหน้าบึ้ง เห็นยิ้มแย้มดีออก ก็ยิ้มให้เค้าก่อน เค้าก็ยิ้มตอบเองแหล่ะ ไม่ถามอะไร สแกนลายนิ้วมือเสร็จ ประทับตราปึ้ง เสร็จละ
เอากระเป๋าเสร็จ ก็ไปรับ Pocket Wi-fi ที่จองเอาไว้ ง่ายหน่อยยื่น email จองให้เค้า แล้วก็ยื่นบัตรเครดิตให้ เค้าจะแจ้งว่าถ้าไม่คืนเครื่อง หรือเครื่องเสียหาย ต้องจ่ายค่าปรับเท่าไหร่ จะตัดจากบัตรเครดิตตอนนั้น (บอกไว้ใน Blog ที่แล้ว ว่าจองก่อน จะได้ส่วนลดค่าเช่าเครื่อง)
นั่งรถไฟไปพูซาน
เดี๋ยวนี้มีรถไฟจากอินชอนตรงไปพูซานเลยนะ แวะที่ Seoul Station ก่อน รถเที่ยวแรก 06:55 กะว่าทันชัวร์ แต่ไม่เลยเจ้า KR PASS ที่ซื้อไว้ ใช้ที่สถานีอินชอนไม่ได้ง่า ต้องไปติดต่อแลกบัตรที่ Seoul Station ก่อน จึงต้องซื้อตั๋ว AREX (Airport Railroad Express) ไปก่อน ราคาเต็ม ₩8,000 แสดง Boarding Pass Korean Air จะลดเหลือ ₩6,900
คิ้วมาแล้วจ้า แต่งหน้ามันบนรถไฟนี่แหล่ะ ไม่แคร์ใคร เพราะไม่มีใครเลย เช้าเกิ๊น
หน้าตาคนนอนแค่ 2 ชม. ยังไหวอยู่
บรรยากาศระหว่างนั่งรถไฟ แค่เห็นสะพานเคเบิ้ลก็รู้ละว่าเจริญ
ใช้เวลา 45 นาทีก็ไปถึง Seoul Station กว่าจะหาเจอว่า Information อยู่ที่ไหน ก็เดินหลงไปหลายชั้น เพราะต้องเป็น Infomation ของ Korail ไม่ใช่ของ AREX เจ้าหน้าที่บางคนไม่รู้จัก KR PASS ก็ชี้ให้ไปที่ AREX Info พอไปตรงนั้น ก็ให้ขึ้นไปอีกชั้น วนไปวนมา กว่าจะเจอว่าไปแลกตรงไหน ก็ 7:50 แล้ว พอได้บัตรแข็งมา จะไปซื้อตั๋วก็ไม่ทันเที่ยว 8:00 แล้ว ต้องรออีกครึ่ง ชม. ไม่เป็นไรมีเวลาเตรียมตัวหน่อยก็ดี
เอา KR Pass Email ที่ได้มาตอนจอง มาแลกบัตรแข็งที่ Information ตรงนี้
แล้วเอาบัตรแข็ง ไปซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์
เจ้าหน้าที่พูดอังกฤษคล่องจ๊ะ เค้าจะเลือกเที่ยวที่เร็วที่สุดให้
หน้าตาบัตรแข็งระบุวันสุดท้ายในการใช้ กับตั๋วรถไฟ
มีเวลาเตรียมตัว ไปซื้อบัตรรถไฟฟ้าก่อน ซื้อที่ร้านสะดวกซื้อในสถานี เลือกซื้อ Cash Bee - One Card, All Pass เป็นบัตรรุ่นใหม่ ที่ใช้ได้เกือบทุกภูมิภาคในเกาหลี แน่นอนใช้นั่งรถเมล์ในพูซาน หรือจังหวัดอื่นได้ด้วย ใครที่ไม่ได้อยู่แต่ในโซล ซื้อบัตรนี้นะจ๊ะ พนักงานร้านมักจะพูดอังกฤษไม่ได้ โชว์รูปให้ดูเลย ราคามัดจำบัตร ₩2,500 เติมเงินเข้าไป ₩30,000 (พูดว่า ชาร์จจึ + ชู 3 นิ้ว เค้าก็รู้เรื่องเองแหล่ะ)
08:30 รถไฟออกตรงเวลามาก ซื้อน้ำ+คิมบับมาด้วย เผื่อสายๆ หิว (คือนางยังจุกจากบิบิมบับบนเครื่อง) ที่นั่งนั่งสบาย กว้างขวางดี เอาง่ายๆ กว้างกว่าที่นั่งแอร์เอเชียว่างั้น เหอๆ (ตรงประตูรถไฟมีที่วางกระเป๋าเดินทาง ไม่ต้องลากมาไว้ใกล้ตัวนะเธอว์) ถึงไม่ได้เตรียมเสบียงมา ก็มีรถเข็นมาขายของด้วยนะ มีฟรีไวไฟให้ใช้ แต่จะมีสัญญาณเป็นบางช่วง (ถ้าไม่ได้อยู่แถวเขา หรือลอดอุโมงค์ ส่วนใหญ่จะใช้ได้ ไม่เร็วนัก แต่ก็พออ่านเฟสบุ๊คได้สบายแหล่ะ)
อย่าถามว่า 2 ข้างทางเป็นไง นั่งหลับเกือบตลอดทางค่ะ หลับตั้งแต่รถไฟออก ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 42 นาทีก็ถึงตรงเวลาเป๊ะ
เก้าอี้กว้าง ปรับเบาะเอนได้ หลับสบายมาก
ตื่นมาตอนครึ่ง ชม. ก่อนถึง ฟ้าครึ้มตลอดทางเลย
ถึงพูซานแล้วจ้า ฟ้าครึ้ม ฝนตกปรอยๆ ลมเย็นมาก
จนต้องเปิดกระเป๋าใหญ่หยิบแจ็กเก็ตมาใส่
สถานีพูซาน ใหญ่กว้างขวางไม่แพ้ที่โซลเลย
Indy House
จากสถานีพูซาน นั่งรถไฟไปที่แฮอุนแด ไกลพอควรเลยล่ะ จริงๆ ทีแรกตั้งใจจะเดินเที่ยวหาอะไรกินใกล้ๆ สถานีพูซานก่อน แต่ก็ขี้เกียจเข็นกระเป๋าไปด้วยอ่ะ ฝนตกปรอยๆ พื้นเฉอะแฉะ เข็นไม่สะดวก เอาไปเก็บที่พักดีกว่า
อ้อ จากสถานีรถไฟพูซานมาที่สถานีรถใต้ดินข้างหน้า ตรงนั้นจะไม่มีลิฟท์นะจ๊ะ ให้เดินไปทางซ้ายอีกนิด จะมี EXIT ที่มีลิฟท์ ไอ้เราก็เซ่อ ยังไม่รู้ทิศทาง ต้องยกกระเป๋าลงบันไดเป็น 30-40 ขั้น ก็ไม่รู้นี่นาว่ามีประตูมีลิฟท์ด้วยอ่ะ ^^"
มาถึงสถานีแฮอุนแด ก็หลงทิศทางตอนออกมา เพราะทางออกที่เค้าบอกมา EXIT 1 ไม่มีลิฟท์ เลยเดินไป EXIT 8 พอโผล่ขึ้นมาก็งงเลย เอ๊ะ ต้องเลี้ยวไหน เดินวนไปวนมาพักใหญ่ กว่าจะจับทางตามแผนที่ที่เค้าให้มาได้ (อาศัย Google Map ช่วยด้วย) คือ ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่อธิบายทางจากลิฟท์ แกไม่คิดเหรอว่าแขกจะเอากระเป๋าใบใหญ่มา
อย่างที่บอกใน blog เตรียมตัวเที่ยว ว่าใครมีสัมภาระเยอะ ลากกระเป๋าใหญ่มา ไม่แนะนำพักที่นี่นะคะ ถึงจะห่างจากสถานีแค่ 500 เมตร แต่ทางเดินไม่สะดวกเลย ทางเท้ามีเป็นบางช่วง บางช่วงก็ขรุขระ ขนาดเอากระเป๋ามาแค่ 13 โล ยังลากกันล้อแทบพัง แต่ถ้าใครนั่งรถเมล์เป็น ป้ายรถเมล์จะเดินใกล้กว่าค่ะ แต่อ่ะนะนั่งรถเมล์ก็ต้องยกกระเป๋าขึ้นลง คงจะพะรุงพะรังมากกว่า
แผนที่+วิธีการเดินทางดูที่ลิงค์นี้เลยจ๊ะ http://www.indyhouse.net/eng/05_direction.html
ที่พักสะอาดสะอ้านดีค่ะ ขึ้นไปติดต่อเจ้าหน้าที่ชั้น 2 ส่วนห้องดอร์มอยู่ชั้น 3 ตอนนั้นเพิ่งบ่าย 2 เค้าก็ให้เช็คอินได้เลย เอากระเป๋าไปเก็บ แล้วก็นั่งรอชาร์จแบตมือถือ+ไวไฟก่อนสักครึ่งชม. ไม่งั้นเดี๋ยวใช้ไม่ได้ถึงดึก ราตรีแรกยาวไกลแน่ๆ
ห้องพักน่ารักมาก มีล็อกเกอร์ให้ในห้องเลย
ห้องน้ำกว้างดี ประมาณครึ่งนึงของห้องนอน (ลืมถ่ายมา)
Haedong Yonggungsa Temple (해동 용궁사)
เพราะจากแฮอุนแดกลับไปแถวสถานีพูซานไกลใช่เล่น จึงเปลี่ยนโปรแกรมไปวัดนี้ก่อนเพราะไม่ไกลจากที่พักนัก และผิดเวลาจากที่วางแผนไป ชม. นึง เกือบบ่าย 3 แล้วและฝนยังตกปรอยๆ ด้วย รีบไปก่อนจะเย็นดีกว่า
เดินกลับไปที่สถานีแฮอุนแด EXIT 7 แล้วนั่งรถเมล์สาย 181 ค่ารถ ₩1,200 ใช้บัตร Cash Bee ที่ซื้อมาจากโซลได้เลย ไม่ต้องหยอดเหรียญ นั่งไปประมาณครึ่งชม. แม้ว่าตอนถึงป้ายจะประกาศแต่ภาษาเกาหลี แต่จะไปวัดนี้ไม่ยากเลยค่ะ เพราะคนจะลงป้ายนั้นเยอะ และพอถึงป้ายวัด จะมีประกาศอังกฤษด้วย สบายมาก
โชคดีได้นั่ง ไม่งั้นยืนยาวเลย เพราะคนส่วนใหญ่ไปลงป้ายวัดนี้
จากป้ายรถเมล์ เดินไปอีกประมาณ 15 นาที เหนื่อยใช้ได้ เพราะทางลาดขึ้นเขา และฝนลงเม็ดหนักขึ้น ลมพัดแรง หนาวยะเยือกเลย ดีที่เสื้อโค้ชกันฝนได้ก็พอไหวอยู่ ก่อนถึงทางเข้าวัดมีร้านกาแฟร้านนึง รีบเดินเข้าเลย จากปกติไม่ชอบกินอะไรร้อนๆ ตอนนี้อยากขึ้นมาทันควัน
ร้านตกแต่งน่ารักดี เข้าใจหาทำเลที่ตั้ง ดึงดูดคนที่เดินมาเหนื่อยๆ ได้ดีเลย
ข้างในก็เก๋ไก๋ เป็นเรือนกระจกที่มีฮีตเตอร์
มาแล้วเครื่องดื่มอุ่นๆ ของเรา
นางไม่กินกาแฟ สั่งช็อคโกแลตลาเต้
จากที่น้ำมูกเริ่มไหลเพราะเย็นมาก ได้แก้วนี้ไปค่อยยังชั่ว
น่ารักเน๊อะ แต่กว่าจะถ่ายมุมนี้ได้ รอตั้งนาน
มีครอบครัวนึงถ่ายกับลูกสาวตั้งนาน แหม ไม่ให้คนอื่นถ่ายบ้างเลยนะ
นี่ถ้าฝนไม่ตก คงจะถ่ายรูปเพลินน่าดู เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวกล้อง (ใหม่) พัง
บรรยากาศวัด สวยมาก แม้จะมาตอนอากาศอึมครึม แต่ก็ให้ความรู้สึกสงบไปอีกแบบ โดยเฉพาะการยืนมองคลื่นกระทบหิน รู้สึกอึ้งอย่างบอกไม่ถูก คลื่นแรงมากพอกระทบโขดหินน้ำเป็นฟอง เอ๋รู้สึกว่ามันสวย ยืนมองคลื่นอยู่ตั้งนาน
สวยและสงบอย่างบอกไม่ถูก
อารมณ์ต่างจากภาพที่เคยเห็นที่เค้าถ่ายกันตอนฟ้าใส
คลื่นแรงขนาดนี้ ถ้าตกลงไปก็ไม่รอดแน่
มีคนมาขอให้ช่วยถ่ายรูปให้เยอะเลย พูดคนละภาษาก็สื่อสารกันได้
ส่วนเอ๋ผกาไม่ง้อใคร เรามีพร้อปมาพร้อม ^^
ขาลงมาสบายมาก แต่ขากลับขึ้นไปนี่สิ บันไดชันสุดๆ มีเดินหอบอ่ะ
บรรยากาศภายนอกอีกนิดหน่อย
อยู่ที่วัดถึงแค่ 4 โมงกว่าๆ กลัวฟ้าจะมืดรีบเดินกลับไปขึ้นรถเมล์ดีกว่า ขากลับเดินลงเขาสบายมาก ฝนไม่ตกแล้ว
ใบไม้ยังไม่ค่อยเปลี่ยนสี ยิ่งมีฝนตกลงมาอีก ต้นไม้ชุ่มชื้นเชียวชะอุ่มเลย
ป้ายรถเมล์ขากลับ มีคนรอไม่กี่คน ส่วนใหญ่นั่งแท็กซี่กัน
น้องผู้หญิงคนนี้ก็มาคนเดียว เห็นตั้งแต่ขามาแล้ว
นั่งรถเมล์สาย 181 เหมือนเดิม กลับไปที่สถานีแฮอุนแด แล้วนั่งรถใต้ดินไปสถานี Jagalchi ให้ออก EXIT 10 เดินไปสัก 5 นาทีจนถึง Jagalchi 3 (sam)-gil Street แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าตลาด หาไม่ยากปากทางจะมีป้ายโค้งๆ บอกชื่อตลาด
อยากกินปลาดิบมาก เดินเข้าไปเลือกร้านที่มีแต่ปลา บอกเค้าว่าซาซิมิ แม่ค้าก็รัวเกาหลีใส่นั่นแหล่ะ แต่ก็พอสื่อสารกันได้ บอกเค้าแค่ว่า มาคนเดียว ขอปลาตัว Small พอเค้าบอกราคาก็ให้เค้ากดเครื่องคิดเลขในมือถือ ได้ปลาตัวละ ₩10,000 ขนาดประมาณ 1 ฟุต อยากกินปลาหมึกสดด้วย บอกเค้าว่า Octopus (กรุณานึกถึงซีรี่ย์เกาหลี แล้วออกเสียงตามว่า อ๊คโทปัสสึ) แต่ร้านแรกไม่มีก็ไปหาซื้อร้านข้างๆ ให้ ขอตัว Small ได้มาตัวละ ₩5,000
ระหว่างแล่ปลา คนขายก็โทรขึ้นไปที่ร้านชั้น 2 ให้ลงมารับเราพาไปนั่งกินที่ร้าน ร้านจะเสิร์ฟเครื่องเคียงพร้อมน้ำเปล่า ราคาเครื่องเคียงจ่ายเพิ่ม ₩6,000 เครื่องเคียงก็เยอะอยู่ เติมได้ตลอดด้วย
ลืมถ่ายรูปก่อนโดนชำแหล่ะ เลยไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไร
คิดว่าน่าจะเป็นปลากระพงนะ
ปลาดิบ เมื่อกินกับเครื่องเคียงแล้ว อร่อยมากอ่ะ เอ๋ชอบกินใส่กระเทียม พริกหยวก ใส่เต้าเจี้ยว แล้วห่อผักยัดใส่ปากฟินสุดๆ ปลาดิบว่าฟินแล้ว เจอปลาหมึกดึ๊บๆ เข้าไป ฟินเฟร่อร์!!! เค้าเอาไปคลุกน้ำมันงา ทำให้มีรสชาติหวานๆ มันๆ และจะดุ๊บๆ ดูดลิ้นนิดๆ ต้องรีบเคี้ยว คือกินไปลุ้นไป มันจะดูดลิ้นมั้ยวะ นั่นแหล่ะยิ่งฟิน ยิ่งกิน ยิ่งมัน ขำดีอ่ะพอเราบอกว่าจะกิน อ๊คโทปัสสึ ทุกคนทำหน้าเหวอ เฮ้ย นางจะกินปลาหมึกไรเงี้ย อาจุมม่าโต๊ะข้างๆ ก็ชวนให้กินกับโซจู กระดกไปแก้วนึง มันเข้ากับหมึกดึ๊บๆ มากกกก นี่ถ้าไม่ติดว่ากลัวจะนั่งหลับตอนนั่งรถไฟกลับไปแฮอุนแด คงกรึ๊บกับอาจุมม่าสักขวดนึงแล้ว หุหุ
ตัวนึงได้แค่นี้แหล่ะ แต่กินกับเครื่องเคียง อิ่มใช้ได้นะ
ปลาหมึกดึ๊บๆ ตัวน้อยแต่อร่อยมากของเค้า
เครื่องเคียงเพียบ ไม่หวงของ พอหมดก็เติมให้
ถ้าไม่กินปลาดิบห่อผัก ก็มีวาซาบิให้จิ้มนะ
อาจุมม่าผมทองโต๊ะข้างๆ นั่นแหล่ะ ที่ชวนกระดกโซจู
นาทีนั้นบอกเลยว่า ฟินสุดๆ ปลาสด ปลาหมึกสด
รายล้อมด้วยคนเกาหลีกินอย่างเอร็ดอร่อย อ้าปากกว้างๆ ไรเงี้ย
รู้สึกว่ามันใช่ กินแล้วแฮปปี้ไปด้วย
กินแต่ของสด ก็อิ่มนะ แต่ไม่หนักท้อง วันนี้กินแต่คิมบับ ขอข้าวหน่อยดีกว่า ตั้งใจจะสั่งจัมปง (คล้ายๆ ต้มยำทะเล) พยายามถามเค้าว่ามีมั้ย สื่อสารกันไปมา ดันได้หัวปลาหม้อไฟมาเฉยเลย แต่เอ้ย มันอร่อยอ่ะ ไม่เคยกินต้มซุปแนวนี้มาก่อน เป็นน้ำใสใส่พริกป่นมาเพียบ ใส่หัวปลา ก้ามปู ตั้งโอ๋ มีหัวไชเท้าทำให้น้ำซุปหวานขึ้น กินเกลี้ยงหม้อเลยอ่ะ หม้อนี้จ่ายเพิ่ม ₩5,000 ไม่ใช่แค่อิ่ม แต่อิ่มท้องแตกอ่ะ รวมแล้วมื้อนี้จ่ายไป ₩26,000 (800+ บ.) เอ๋ว่าไม่แพงนะ เพราะได้กินอย่างที่อยากมานาน อร่อยมากด้วย แค่นี้ถือว่าคุ้มแล้ว
Gwangbok-ro Street
จากตลาดปลา อิ่มเกิ๊น สมควรเดินย่อยก่อนกลับไปนอน เดินมุดใต้ดินมาแถวๆ Gwangbok-ro Street จริงๆ นั่งรถใต้ดินมาที่สถานี Nampo ห่างกันสถานีเดียวก็ได้ แต่มันไม่ไกลมาก เดินดูอะไรไปเรื่อยๆ คือใจจริงรู้ว่าย่านนี้มีร้าน New Balance อยากได้รองเท้าใหม่ว่างั้น ก็ได้สมใจมาคู่นึง ₩99,000 (จิ๊กรูป blog เก่ามาแปะหน่อยนะ)
แล้วก็แวะร้าน Innisfree ด้วย ว่าจะซื้อแค่ Clay Mask แต่ไหงได้มาตรึมเลย หมดไปอีกร่วม ₩150,000+ ไม่ไหวนะ เดินย่อยไม่ถึงครึ่งชม. หมดไปเกือบ ₩250,000 นี่แค่วันแรกนะ พอๆๆๆๆ เลิกเดินย่อย กลับไปนอนย่อยที่ห้องเถอะ
เป็นถนนเส้นไม่ใหญ่มาก แต่มีร้านค้าเริ่ดๆ เพียบเลยอ่ะ
นี่ถ้ามีเวลาเดินมากกว่านี้ คงแย่ --"
อยากได้มานานแล้ว ในไทยเจอแต่แบบไม่ถูกใจ
เดินเข้าร้านที่นี่แป๊บเดียว ปิ๊งรักทันควันเลยอ่ะ
เอิ่ม ร้าน Skin Care ร้านแรกก็โดนขนาดนี้แล้วอ่ะ
กลับเถอะผกา นอนย่อยอ้วนตุ้ยเอาก็ได้ ถ้าเดินจนสุดถนนจะไม่ไหวนะ
นั่งรถไฟกลับแฮอุนแด ถึงตอน 4 ทุ่มกว่าๆ อาบน้ำ จัดของที่ซื้อมาใส่กระเป๋า (มีที่ว่างเยอะ เพราะเอาของมาครึ่งเดียว) กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน ใช้เวลาวันแรกได้คุ้มค่ามาก 6 โมงเช้า ยันเที่ยงคืน กลับไปถึงที่ห้อง เตียงอื่นมากันครบแล้ว มี 2 คนออกไปเที่ยวกลางคืน กลับมาเกือบเช้าได้มั้ง ... ผกาไม่สนใจ ผกาหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยเลย เหนื่อยแต่สนุกดี อาจจะมีเวลาแวะแต่ละที่นิดเดียว เพราะมีเสียเวลาหลงทิศทางบ้าง แต่ก็ถือว่าได้ไปครบตามที่ตั้งใจแล้ว พอใจละ
No comments:
Post a Comment