วันที่ 4 แล้ว วันนี้ไม่ไปไหนแล้วอยู่แต่ในโซล นั่งรถไฟมา 3 วันจนรู้สึกเหมือนยังได้ยินเสียงตอนรถไฟวิ่งอยู่ ฮ่าๆๆๆ เมื่อวานเหนื่อยมาก ออกเที่ยวตั้งแต่ 6 โมงถึงเที่ยงคืนกว่า กว่าจะได้นอนเกือบตี 2 ไม่ตั้งนาฬิกาปลุกเลย กะจะนอนให้เต็มที่ แล้วก็เต็มที่จริงๆ นางเหนื่อยหลับสนิทไม่รู้สึกตัวเลยยัน 9 โมงครึ่ง ก็ไม่ได้ตั้งใจจะตื่นสายขนาดนั้นหรอกนะ อิอิ ลองจัดกระเป๋าดูก่อนว่าพอจะมีที่เหลืออีกมั้ย ชั้นจะได้ช้อปปิ้งต่อได้ อาบน้ำ แต่งตัว นั่งเล่น นั่งจัดกระเป๋า กว่าจะออกจากที่พักเกือบเที่ยง
เปิดประตูออกมาเจอนางนอนท่านี้ ขำมาก น่ารักดีอ่ะ
อากาศอุ่นขึ้นประมาณ 15-16 องศา นางคงร้อน นอนแผ่หลาเลย
หิวอ่ะดิ หาของกินก่อนเลย มีร้านใกล้ที่พักที่เล็งมาหลายวันแล้ว เปิด 24 ชม. อยู่ตรงหัวมุมถนนก่อนเลี้ยวไปที่พัก (ถ้ามาจากสถานีฮงอิก EXIT 2) มองเข้าไปคนเยอะตลอด จัดเลยละกัน ในร้านไม่มีป้ายอังกฤษเลย ยังดีมีรูปภาพให้ดู ก็เลยถามเค้าว่าอันไหนกินได้สำหรับคนเดียว โชคดีที่อาจุมม่าพูดอังกฤษคล่อง บอกเลยว่าร้านนี้ไม่มีเนื้อ ก็เลยได้เมนูนี้มา ซุบกระดูกหมู (แฮจางกุ๊ค 해장국) อ่านในเน็ตเค้าบอกว่าเป็นซุปสำหรับ "แก้อาการเมาค้าง" อ้อ มิน่าล่ะ เครื่องเทศเยอะมาก เผ็ดร้อนสะใจ คนเมาก็ต้องตาตื่นล่ะ เราก็ว่าคนสั่งกันทุกโต๊ะเลย เมื่อคืนจัดหนักกันล่ะสิ ฮ่าๆๆๆ แต่มันน่าจะช่วยได้จริงๆ นะ ขนาดเราไม่เมาแต่เหนื่อยๆ มากินยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น มันอร่อยมากอ่ะ ชอบๆ หมูติดกระดูกเคี่ยวมาจนเปื่อย เลาะออกง่ายมาก ตอนแรกก็งงจะกินยังไง ตะเกียบก็ใช้ไม่คล่อง แต่เอาเข้าจริง เลาะเนื้อง่ายมากๆ
ร้านนี้จ๊ะ อยู่ตรงหัวมุม หาไม่ยาก
เชื่อแล้วว่าคนเกาหลีกินเหล้าเยอะจริงๆ ข้าน้อยขอคารวะ
นี่แค่เที่ยงวัน กินเบียร์หมดไปหลายขวดละ
แต่พวกฮีก็มากินซุปแก้แฮ้งค์ไปด้วยนะ แล้วมันจะถอนได้มั้ยอ่ะ
ไงล่ะ เครื่องเทศเผ็ดร้อนขนาดนี้ ไม่หายเมาให้มันรู้ไป
เครื่องเคียงเหมือนกันทุกที่ เริ่มเสพติดการกินพริกจิ้มเต้าเจี้ยวแล้วดิ
ไม่ใช่มีแต่กระดูกหมููนะ เนื้อติดกระดูกเยอะมาก นุ่มเปื่อยมาก เลาะง่ายสุดๆ
เห็นมั้ยล่ะ เลาะซะเกลี้ยงเลย นี่ขนาดใช้ตะเกียบไม่คล่องนะ ไม่ใช้มือเลยด้วย
Bukchon
สบายตัวแล้วเที่ยวต่อได้ อ๊ะๆ แม้วันนี้จะอยู่ในโซล ก็อย่าได้คิดว่าคนอย่างนางจะเที่ยววัด เที่ยววัง ไม่มีซะละ แน่นอน หาที่เดินเล่นชิลๆ ช้อปปิ้งบ้างไรบ้างดีกว่า นั่นแหล่ะถึงจะเหมาะกับนาง นั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานี Anguk แล้วเดินเรียบรั้ววังกันดีกว่า
แต่ก็หลงทิศทางอีกจนได้ สุดท้ายก็เดินตามๆ เค้าไป แล้วก็มาเจอทางเดินเป็นกำแพงสูงๆ มีต้นไม้ตลอดทาง ร่มรื่นดี ตอนนั้นประมาณบ่าย 2 ดูเหมือนว่าย่านนี้จะเป็นถนนคนเดินเล็กๆ เริ่มมีคนมาตั้งขายของตามทาง ส่วนใหญ่เป็นของแฮนเมด เดินเพลินๆ
ตรงนี้เป็นคอฟฟี่ชอป แต่คนขายนี้มานั่งขายต้นไม้จิ๋วอยู่ข้างหน้า
มุดเข้าไปนั่งขายในห้องกระจกเล็กมากๆ
ฉลาดนะเนี่ยถ้าอากาศหนาวเป็นที่กันลมอย่างดีเลย
ซอกซอยเล็กๆ เต็มไปด้วยของแฮนเมด ไม่ได้ซื้ออะไร ไม่ค่อยเก็บของพวกนี้
ตรงไหนมีคนมาเล่นดนตรีเปิดกล่อง (ก็เค้าไม่ได้ใช้หมวก)
รอบๆ ก็จะมีคนนั่งฟังเพลงเคลิ้มๆ ชิลๆ
อุดหนุนกิ๊ปร้านนี้มาตัวนึง ₩2,000 รำคาญผม
ถูกมาก เดินไปเจอแบบเดียวกันร้านข้างหน้า ตัวละ ₩4,000 แหน่ะ
บรรยากาศร่มรื่นดี
อ้อ ถนนตรงนี้เค้ามีชื่อด้วย Dalssi Market เย็นกว่านี้คงมีของมาขายอีกเยอะ
เดินออกมาถึงตรงวังคยองบ๊ค แต่ไม่ได้เข้าไป เดินเลาะๆ ตามถนนฝั่งร้านค้า เป็นถนนที่เดินชิลๆ มากนะ ถ้าใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวย แต่เสียดายที่ความพลุกพล่านของรถ (โดยเฉพาะรถทัวร์) ทำให้เสียบรรยากาศไปเยอะ เพราะถนนแคบแต่รถเยอะมาก มองไปมีแต่รถติด
เดินมาเจอลุงกับป้าขายขนมโบราณ (อยู่ตรงแยกที่พลุกพล่านน่ะแหล่ะ) เป็นขนมน้ำตาลชื่อ ทัลโกนา (달고나) เห็นคนมุงกัน อันละ ₩1,000 เอง แต่จริงๆ คนซื้อไม่กี่อันหรอก แต่มุงแอ๊คท่าถ่ายรูปกับลุงคนทำ อุดหนุนมาอันนึง อร่อยดี ไม่หวานเกินไป
แล้วก็เสียตังค์จนได้ ที่ร้าน Tak Girl เห็นหมวกใบนึงชอบมาก เลยซื้อมา 2 ใบ อีกใบให้พี่สาว ราคาใบละ ₩19,000 จริงๆ มีหลายร้านที่ขายหมวก (คนที่นี่คงจะชอบใส่หมวกกันมาก) ร้านนี้เหมือนจะราคาแพงกว่าร้านอื่น แต่ไม่มีทรงที่ถูกใจ
หมวก 2 ใบ 2 สี ของพี่กับน้อง
ใน Bukchon มีที่ท่องเที่ยวชื่อดังอีกที่คือ Bukchon Hanok Village ทีแรกตั้งใจจะไม่เดินไปเพราะเห็นบ้านโบราณจากจอนจูมาเต็มที่แล้ว แต่เดินๆ ไป หลงเข้ามาจนได้แหล่ะ เหมือนมีแรงดึงดูดจริงๆ ซึ่งคนเยอะมาก ดีนะที่เราถ่ายรูปจากจอนจูมาเยอะแล้ว ก็เลยไม่ซีเรียสเดินชิลๆ ดูวิวมุมสูง Hanok Village ที่นี่จะอยู่บนเนินเขา เดินเหนื่อยกว่าว่างั้น
คนเป็นหนอน หามุมถ่ายรูปไม่ได้เลย
จะถ่ายมุมไหน ก็มีแต่คนยืนต่อคิวรอ
ช่างมัน ถ่ายมันติดคนนี่แหล่ะ แต่อันนี้ขึ้นบันไดไปถ่ายสูงกว่าคนอื่นนิดนึง
กลัวขาตั้งกล้องโดนหัวคนอื่นว่างั้น ไม้เซลฟี้เราใหญ่กว่าเค้า ฮ่าๆๆๆ
เดินเล่นดูวิวมุมสูงอีกนิดหน่อย
เดินๆ ไปเริ่มเมื่อย จะเดินกลับทางเดินก็คนเยอะขึ้นเรื่อยๆ โชคดีเจอบันไดทางลัด แต่ชัน+หลายขั้นมาก ต้องเกาะราวดีๆ ถ้าสะดุดตกไปขาหักแน่ๆ เดินไปใจเต้นตุ่มๆ ต่ำๆ ไป (เพราะกลัวความสูง) แต่ก็ประหยัดเวลาเดินไปเยอะ ลงมาถึงข้างล่างเป็นถนนชื่อว่า Samcheong-ro ชอบย่านนี้นะ มีพวกร้านอาหารเก๋ๆ ที่สร้างตามแนวเชิงเขา ส่วนใหญ่ทำเป็นระเบียงให้มองวิวมุมสูงได้ ชอบบรรยากาศแบบนี้ นี่ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ได้นั่งจิบไวน์ มองวิวเพลินๆ แน่ๆ
เออ ว่าแต่คนเกาหลีชอบกินกาแฟกันจริงๆ จังๆ บรรยากาศแบบนี้สำหรับเอ๋ผกา นางอยากจิบไวน์โรเซ่เย็นๆ ยิ่งนัก แต่หาร้านขายไวน์ไม่ได้เลย มีร้านนึงต้องปีนบันไดกลับขึ้นไปบนเขาอีก เห็นมีแต่ร้านคาเฟ่ชา กาแฟ ซึ่งนางไม่กินกาแฟ บางคาเฟ่ก็พอจะมีไวน์บ้าง แต่เป็นไวน์ขาว ไวน์แดงขวดเล็กๆ ไม่มีโรเซ่ อ้อ ส่วนใหญ่มีเบียร์ขวด ซึ่งนางก็ไม่ชอบกินเบียร์ด้วยสิ เรื่องมากเน๊อะ
เท่าที่เห็น ส่วนใหญ่คนเดินแถวนี้เป็นคนเกาหลี น่าจะเป็นแหล่งนั่งชิลๆ ของเค้าแหล่ะ ฝั่งตรงข้ามร้านอาหารก็จะเป็นร้านเสื้อผ้า หมวก ร้องเท้า ร้านแฟชั่นแถวนี้ค่อนข้างมีสไตล์ ไม่วัยรุ่นจ๋า
ร้าน 5 Dollars มีหลายสาขา มีของกระจุ๊กกระจิ๊ก
เครื่องประดับ หมวก ราคาไม่แพง ₩5,000-15,000
นี่ถ้าไม่ซื้อหมวกมาก่อน คงได้จัดจากร้านนี้แน่ๆ
หลังร้านนี้ดูจากโครงสร้าง น่าจะเป็นร้านกาแฟมาก่อน
แต่ตอนนี้มาดัดแปลงเป็นมุมขายเสื้อผ้า ่ขายถูกด้วยนะ
อยากได้กางเกงขาสั้นตัวนึง แต่ไม่มีไซต์เรา แงๆๆๆๆ
เดินหาร้านไวน์อยู่พักใหญ่ ถอดใจละ มีแต่ร้านคาเฟ่ เบเกอรี่ เอ้า กินน้ำผลไม้ก็ได้ เข้ามานั่งร้าน Wood Brick ท่าทางดี มี 2 โซน เบเกอรี่กับร้านอาหาร ราคาค่อนข้างแพงสำหรับเอ๋ผกานะ เพราะปกติไม่ค่อยเข้าร้านคาเฟ่เท่าไหร่ (ไม่กินกาแฟและไม่ชอบของหวานนัก) ตั้งใจมาสั่งน้ำผลไม้ แต่เจอทาร์ตน่ากิน จัดหน่อยละกัน ไม่ผิดหวังกับทาร์ตอร่อยมากกก อยากจัดอีกชิ้นเลยอ่ะแต่มันชิ้นสุดท้ายพอดี ส่วนน้ำ Grapefruit ผิดหวังที่สุด ไม่อร่อยเลย ขมปี๋ แต่ก็กินหมดนะเสียดายตังค์ TT
ราคาส่วนใหญ่ ₩6,000+
London Cheese Tart ₩6,000 Grapefruit ₩6,200
Insa-dong
เดินย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟฟ้า Anguk ไปทาง EXIT 6 เพื่อไป Insa-dong ย่านอาร์ตๆ คนเยอะมาก แต่ก็เดินเพลินๆ ไม่ได้ซื้ออะไรแต่ชอบดูของแนวนี้มันเพลินตาดี ระหว่างทางมีคนมาโชว์อะไรเล็กๆ น้อยๆ ตลอดทาง
ตรงนี้เค้าขอรับบริจาคช่วยผู้ลี้ภัย แอบสงสารคนที่โดนมัด
อยากช่วยอ่ะแต่ตอนนั้นดันมีแต่แบงค์ใหญ่
บรรยากาศฮาโลวีนใกล้เข้ามาละ
ครอบครัวนี้น่ารักดี แม่จัดให้ลูกแต่งตัวเต็มมาก
เดินมาถึง Ssamziegil (쌈지길) เป็นที่ๆ สนใจที่สุด แต่คนเยอะมาก เดินไหลๆ ตามๆ กันไป ถ่ายรูปไม่ค่อยได้แอบเสียดาย ไม่น่ามาวันหยุด แต่ไม่เป็นไรถือว่าเดินชิลๆ ก็พอละ เค้าทำตึกได้เก๋ดี เป็นทางเดินลาดๆ ไม่ต้องพึ่งบันไดแป๊บเดียวก็ไปถึงชั้นบนละ
คนเยอะมากจนต้องยื่นหน้าออกมา อีกนิดนางจะตกตึกตายละ ฮ่าๆๆ
ยิ่งแก่ขึ้น หนังตาซ้ายตก เพราะข้างซ้ายจะสายตาสั้นกว่าขวาเยอะ เลยติดหรี่ตาข้างนี้
แวะเข้าไปหาหมอศัลยกรรมเลยดีมั้ย คริๆๆ
มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะพอควรนะ แต่ถ่ายไม่ค่อยได้ คนจองหมดแล้ว
ร้านถ่ายรูปชุดฮันบก คนเต็มเช่นกัน
มีสวนดอกไม้ชั้นดาดฟ้า แต่ต้นไม้ใบไม้ร่วงหมดละ
ร้านขายป้ายให้เขียนห้อยรวมๆ กัน (คล้ายๆ แขวนกุญแจอ่ะ)
เดินมาถึงกำลังร้องเพลง Nobody เล่นกับคนดู
ร้องเพลงอาจัชชี่ คนดูร้องตามด้วยนะ
Sinsa-dong
มารถไฟฟ้าสถานี Sinsa มาเดินเล่นต่อแถว Sinsa-dong (Garosu-gil Road) เป็นย่านช้อปปิ้งเล็กๆ คนไม่พลุกพล่าน เพราะของที่ขายค่อนข้างจะหรูมั้ง แต่แอบชอบเดินย่านนี้มากกว่า เพราะความไม่พลุกพล่าน คนขายไม่ตื้อนี่แหล่ะ
เดินแถวนี้ ให้บรรยากาศเหมือนเดินช้อปปิ้งแถวยุโรปไงมะรู้ อิอิ
เชื่อเหอะว่า ผู้หญิงเกาหลีเอวเล็กจริงๆ
นี่คือกระโปรงฟรีไซต์ของเค้าแล้วอ่ะ
และแล้วก็ต้อนมนต์ป้าซงจีฮโยจนได้
ส่งสายตาร่ายมนต์เรียกเราให้เสียตังค์
นี่ขนาดไม่รู้จักแบรนด์ Banila co.มาก่อนเลยนะ ยังหมดไป ₩46,000 -_-"
ได้มา 2 ชิ้น ขอบอกว่าชุดแต่งคิ้วใช้ดีมากจ๊ะ สีพอดีกับเราเลย
ส่วนแป้งไฮไลท์ก็ใช้ดี หน้าวิิ้งๆ ดีจ๊ะ
นี่แหล่ะ สาเหตุที่มาถึงย่านนี้ เพราะจะมาร้านออมม่าของแกตุงอ่า จากเรื่อง Fated to Love You เห็นจากในละคร ชอบมากอยากได้มาครอบครอง ลอง search หาในเน็ตก็เจอว่ามีขายจริงๆ ชื่อแบรนด์ว่า Youk Shim Won ถึงจะรู้ว่าราคาเลือดซิบๆ ก็เหอะ แต่ก็อยากได้อยู่ดี เรียกได้ว่าเป็นชิ้นที่แพงที่สุดในทริปนี้ และแพงที่สุดในบรรดากระเป๋าที่มีอยู่ แต่จะบอกว่าใบนี้จะถูกสุดในรุ่นแล้วนะ ₩288,000
เดินย่านนี้ประมาณ ชม.กว่าๆ พักกินน้ำนิดนึง ยังไม่กินข้าวเย็นกลัวไม่มีเวลาไปอีกจุดนึง ซึ่งต้องไปถึงไม่ควรเกิน 2 ทุ่ม แวะร้าน Coffee Smith เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเกาหลี แวะร้านดังซะหน่อย ที่นั่งเต็มเอี๊ยด สาขานี้ตกแต่งไฮโซนิดๆ เหมาะกับย่านนี้ว่างั้น
เริ่มติดใจน้ำ Ade แล้วสิ (ออกเสียงแบบเกาหลีว่า เอ-ดึ) หวานเปรี้ยวซ่า ชื่นใจดี
อันนี้คือ Smith Ade Blue ₩4,000
ไฮโซแนวอาร์ตนิดๆ ชั้น 2 สูงเชียว แน่นทุกโต๊ะขอบอก
ที่ต้องรีบมา เพราะที่สะพาน Banpo จะมีแสดงน้ำพุ รอบสุดท้ายประมาณ 9:30 เดินทางไปที่สถานี Express Bus Terminal แล้วเดินไปที่สะพาน เดินค่อนข้างไกลแต่ก็พอเดินไหว อากาศจะยิ่งเย็นขึ้นเพราะใกล้แม่น้ำ ลมพัดเย็นใช้ได้เลย คิดถึงเสื้อโค้ชก็ตอนนี้แหล่ะ ทางเดินไปสะพาน ดูจากบล็อคน้องมินเลยค่ะ http://seoulcafe2013.blogspot.sg/2014/09/banpo-bridge.html เข้าใจง่ายดี น้องอธิบายละเอียดมาก
เห็นเค้าบอกว่าการแสดงจะมีทุกครึ่งชั่วโมง รอบนึงก็นานอยู่นะ เหมือนจะแบ่งเป็น 2 ช่วงด้วย ไม่แน่ใจเพราะมัวแต่ถ่ายรูป มันก็สวยนะ แต่เหมือนจะเปิดไฟไม่สุดหรือเปล่าไม่รู้ ไม่ค่อยเห็นว่ามันเป็นสีรุ้งเท่าไหร่ ไม่เป็นไรดูเพลินดี เพลงที่เปิดประกอบเพราะด้วย มีคนมานั่งดูเพียบ เอ๋อยู่ตรงนี้จนถึงรอบสุดท้ายเลย ถ่ายรูปเพลินดูเพลิน จนไม่ได้สังเกตุว่า หัวตัวเองเย็นเจี๊ยบ ยืนตากน้ำค้างริมน้ำตั้งนาน แหะๆ
อีกด้านนึงของสะพาน มีตึกกระจกที่เปิดไฟสีๆ สลับๆ สีด้วยนะ ถ้าจำไม่ผิดเคยเห็นตึกนี้ในเรื่อง City Hunter ที่มินโฮกับยัยผักเน่าเล่น ตอนกลางคืนสวยมาก ถ้าตั้งเวลาถ่ายรูปจะได้สีไม่ซ้ำกันเลย แต่ถ่ายมานิดเดียว 3 ทุ่มครึ่งแล้ว ภารกิจในโซลยังไม่หมด อ้อ ใครหิว ไม่ต้องห่วง ใต้สะพานมีรถมาขายของว่างเพียบเลยจ๊ะ อยากกินเหมือนกัน หิวมาก แต่กลัวเวลาไม่พอ
มองๆ ไป สะดุดกึ๊ก เอ๊ะทำไมร้านนี้มีแต่สาวๆ ต่อคิว
แหม ก็ดูอปป้าคนขายสิคะ หน้าตาดีใช่เล่นเลย ตัวสูงด้วยอ่ะ
นี่ถ้าไม่รีบ จะต่อคิวอุดหนุนซะหน่อย
ภารกิจสุดท้ายของวันนี้ ก็คือซื้อขนมที่ล้อตเต้มาร์ทนี่แหล่ะ ตอนแรกว่าจะเอาไว้ซื้อวันอาทิตย์ แต่น้องที่อยู่เกาหลีบอกมาว่าเค้าจะปิดอาทิตย์ที่ 4 นะ โห ดีนะที่น้องเตือนก่อน ไม่งั้นอดแน่ มาถึง 4 ทุ่มครึ่ง มีเวลา ชม.กว่าเท่านั้นเพราะปิดเที่ยงคืน คนเยอะมาก ไม่ได้กล้าซื้ออะไรมากเพราะกลัวจะหิ้วไม่ไหว ต้องรีบให้ทันรถไฟฟ้าสาย AREX เที่ยวสุดท้ายด้วย และสายนี้จะเดินไกลมาก นางกลัวแขนตัวเองหลุดว่างั้น
ซื้อมาได้แค่นี้ ขนมอร่อยทุกอย่างจ๊ะ เอาไปวางไว้ที่ทำงานแป๊บเดียวหมด
ส่วนหม้อเกาหลี อิอิ น้องที่บ้านฝากซื้อจ๊ะ บ้านที่สิงคโปร์ใช้หม้อเกาหลี
มันไหม้ไปใบนึง ซื้อใบใหม่มาแทน
Costa Bonita
ซื้อเสร็จแพ็คใส่กล่องเสร็จตอน 11:45 โหทำเวลาสุดฤทธิ์ รีบวิ่งไปสถานี AREX เที่ยวสุดท้ายพอดีเลยอ่ะ หอบแฮ่กๆ โชคดีที่ค่อนข้างจะคุ้นทางเดินในสถานีโซลจากตอนที่ไปพูซาน เลยรู้ทิศทางดี วิ่งเร็วปรื้ด กลับมาถึงฮงแดตอนเที่ยงคืนครึ่ง ใจจริงอยากไปหาเบียร์กินย่าน ม.ฮงอิก แต่เหนื่อยมากแล้วไม่ไหวแฮะ เจอร้านเบียร์แถวที่พักยังไม่ปิด ขอหน่อยแล้วกันนะยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย หิวมาก แวะเลย ร้านชื่อว่า Costa Bonita คนไม่เยอะมากเพราะดึกมากแล้วมั้ง
รูปนี้มาถ่ายตอนเช้าอีกวันหนึ่ง ร้านอยู่หัวมุมตรงทางเดินไปที่พัก
นางแบกของหมดนี่เข้าร้านเบียร์จ้า ไม่แคร์ใดๆ หญิงแกร่งซะอย่าง
สั่งเบียร์ดำมา ขมดีชอบ
ผัดซีฟู้ด ตอนสั่งพนักงานถามอีกครั้งจะสั่งจานนี้เหรอ
เพราะจริงๆ ร้านนี้ขายไก่กับเบียร์ แต่ไม่กินไก่เลยเลือกอันนี้
พอมาเสิร์ฟก็เลยรู้ว่าทำไมคนขายแปลกใจ เพราะมันจานใหญ่มาก
ไม่รู้เบียร์มันแก้วเล็กไป หรืออาหารจานใหญ่ ฮ่าๆๆๆ
รสชาติโอเคนะ แต่ดูจะไม่เหมาะกับเบียร์ดำ ทำให้อาหารรสชาติเฝื่อนๆ ไป
โต๊ะนี้มากินเลี้ยง โต๊ะใหญ่สุดในร้านละ
ผู้หญิงเกาหลีเค้าหน้าใสกันหมดจริงๆ
มองๆ พวกนางเพลินมาก
ตอนนั้นคือตีหนึ่งกว่าแล้ว ใจจริงอยากกินเบียร์ต่ออีก
แต่กลัวจะหลับคาเก้าอี้เค้า เนื่องจากเหนื่อย
กลับไปนอนเหอะผกาเอ้ย
แอบเสียดาย ทำไมเราเดินผ่านร้านนี้ทุกวันแต่ไม่แวะเนี่ย เด็กเสิร์ฟสูงขาวหน้าตาดีทุ๊กคนนน นูน่าไม่อยากกลับไปนอนเล้ยยย ฮ่าๆๆๆๆ แม้จะไม่พูดอังกฤษ ฟังไม่ค่อยออกด้วย แต่ก็พอสื่อสารกันได้ ด้วยภาษานิ้วชี้ และช่วยถือของหนักไปส่งที่โต๊ะด้วย น่ารักอ่ะ >,,<
โอเคจ้า หมดอีกหนึ่งวันในโซลแล้ว เที่ยวไม่เหมือนใคร เดินเล่นดูนั่นดูนี่ ดูผู้คน แต่เป็นคนชอบเที่ยวแนวนี้เองแหล่ะ มีเวลาให้โซลน้อยไปหน่อย คราวหน้าสัญญาจะกลับมาใหม่อยู่แต่ในโซลอย่างเดียวให้ทั้่วเลย
No comments:
Post a Comment