Thursday, December 4, 2014

[Travelling] ติ่งตะเวนเกาหลี วันสุดท้าย - 20141025 Korean Trip Last Day


วันสุดท้ายแล้วอ่า ไม่อยากกลับเลย งือๆๆๆ เอ๋ผกาชอบอากาศหนาว ต่ำกว่า 0 นางก็อยู่ได้ อยู่ที่นี่หน้าใสมาก ทา BB Cushion หน้าเนียนกริ๊บไม่มีเยิ้ม งุงิ ชั้นอยากหน้าเด้งงี้ตลอดปายยย TT 

ตื่นมาตอน 8 โมง อาบน้ำแต่งตัว จัดกระเป๋าก่อน check-out ออกมาจากห้องตอน 9:40 เอาอีกแล้ว อิผู้จัดการมันหายหัวไปไหน เขียนเบอร์มือถือติดเอาไว้โทรไปก็ไม่รับ มีคนจะเช็คเอาท์คนอื่นด้วย เค้าจะฝากกระเป๋าเอาไว้เหมือนกัน ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ จากมือถือ จนกระทั่ง 10 โมง อิผู้จัดการเดินออกมางัวเงีย หัวยุ่งเชียะ ที่แท้มันนอนหลับไม่ตื่น โทรไปไม่ได้ยิน คนโทรไปเป็นสิบๆ สายเลยเนี่ยนะ กวนมาก เมื่อคืนกลับมาตีหนึ่งกว่าก็ยังเห็นมันเล่นเกมส์ สงสัยเมาไม่ตื่นแน่ๆ เป็นคนดูแลภาษาไรวะ รมณ์เสียแต่เช้าเพราะเวลาวันสุดท้ายก็น้อยอยู่แล้ว นี่แหล่ะสาเหตุที่ไม่แนะนำสาขานี้ คนดูแลห่วยมากๆ



ก็ไม่เยอะเท่าไหร่นะ ว่ามะ (หรา?)
มีน้องบอกว่าพี่เอ๋จัดกระเป๋าเรียบร้อยมาก 
ก็เดินทางบ่อย จัดของให้เต็มได้ทุกอณู อย่าให้มีช่องว่าง


Ewha Womans University (이화여자대학교) & Ewha Shopping Street

กว่าจะได้ฝากกระเป๋าปาไป 10 โมงกว่า เลยเหลือเวลาแค่ 4 ชม.เท่านั้น ไปเดินเล่นช้อปปิ้งเก็บตกอีกหน่อยดีกว่า กระเป๋ายังไม่เต็ม คริๆๆๆ 

นั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานี Ewha Womans University EXIT 2,3 ได้ยินว่า ม.หญิง แห่งนี้สวย มีของขายเยอะด้วย และก็ไม่ผิดหวัง ม.เค้าสวยจริงๆ พื้นที่เป็นเนินเขา ทั้งอาคาร สวนดอกไม้ต่างๆ ตกแต่งได้ดูสมเป็น ม.หญิง ใส่ใจรายละเอียดดี ถ่ายรูปที่นี่นานพอควร แดดร้อนแต่ลมพัดเย็นสบาย ชอบมาก ตลกดีทุกคนเห็นไม้เซลฟี้เอ๋ผกา มองแล้วซุบซิปกันใหญ่ ทำไมยะ รุ่นนี้ลมพัดแค่ไหนก็ไม่สะเทือนย่ะ แค่เมื่อยแขนสั่นนิดหน่อย แต่กล้องชั้นมีระบบกันสั่นสะเทือนไม่กลัวภาพเบลออยู่แล้ว 
















เดินออกมาหน้า ม. เป็นย่านช้อปปิ้งของสาวๆ เสื้อผ้าเยอะดี ของทุกอย่างดูน่ารักกระจุกกระจิกไปหมด ราคาไม่แพงมาก นี่ขนาดร้านยังไม่เปิดเต็มที่นะ แต่เอ๋ผกาเดิน 2 ชม.หมดไป 4 หมื่นวอน ฮ่าๆๆๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงแย่ 





ซื้อเป้สีฟ้าลายดอกมาใบนึง ₩10,000
ใบใหญ่ดี แต่ใส่ของมากไม่ได้ เพราะสายกระเป๋าไม่มีบุซัพพอร์ต 
เคยใส่ของหนักทีนึง เล่นเอาไหล่เคล็ดเลย


ได้เสื้อมาตัวนึง  ₩30,000+ ไม่หนามาก เอามาใส่ที่สิงคโปร์ได้
ส่วนกางเกง ซื้อแถวสถานี Express Bus Terminal ตัวละ ₩10,000 ใส่วันสุดท้ายซะเลย 

เก็บตกฮงแด

แวะไป ม.ฮีฮวา แป๊บเดียวจริงๆ เที่ยงๆ ก็กลับมาที่ฮงแด กะว่าจะหาอะไรกินก่อนไปเอากระเป๋าสักหน่อย แต่ไหงนางเดินเข้าช็อป New ฺBalance ซะงั้น แล้วก็ไปเจอรองเท้าน่ารักคู่นึง สองจิตสองใจอยู่นาน เอาดีมั้ยนะ รุ่นนี้มี 2 สี น้ำเงิน กับ ครีม จริงๆ อยากได้สีครีมมากกว่าเพราะเพิ่งซื้อสีฟ้ามา และสีครีมน่ารักมุ้งมิ้งมากๆ แต่กลัวว่าจะสกปรกง่ายไป สุดท้ายก็เลือกน้ำเงินมาจนได้ ราคาโหดพอควร ₩109,000 และไม่มีเบอร์ 6 ด้วย มีแต่ 6.5 คู่สุดท้าย แต่พอลองใส่ก็โอเค เพราะมันหุ้มข้อเท้า ใส่ใหญ่กว่านิดนึงไม่เป็นไร 




New Balance รุ่น 891 ราคา ₩109,000

เดินเล่นแถว ม.ฮงอิก อีกนิดนึง เข้าไปใน ม. บรรยากาศแตกต่างจาก ม.อีฮวา มากมาย ดูแข็งๆ ไม่ตกแต่งหวานแหววเหมือน ม.ของสาวๆ แต่ชอบตึกตรงประตูทางเข้า เข้าใจออกแบบ ถ้าเป็นเมืองไทยอ่ะเหรอ แตกร้าวไม่แข็งแรงตั้งแต่ปีแรกละ งบประมาณอ่ะมีเยอะ แต่คนกินงบประมาณเยอะกว่า ฮ่าๆๆๆ








มุมนี้ถ้าตอนกลางคืนจะมีคนมาแสดงนั่นนี่ 
แต่กลางวัน เงียบมาก

ไก่ทอดคงจะฮิตไม่เลิกจริงๆ เดินไปทางไหนมีแต่ร้านขายไก่ จะกินทัคคาลบี้คนเดียวก็ไม่ไหวแฮะ ข้ามถนนย้อนกลับมาฝั่งที่พัก จากสถานีฮงแด EXIT 1 จะมีร้านซุปร้านนึงที่เปิด 24 ชม.ดีกว่า เห็นคนเข้าเยอะ น่าจะอร่อย ตอนนั้นมีเงินสดเหลืออยู่ ₩16,000 เลยสั่งเมนู Signature ของร้านเลยซะเลย ซุปเอ็นเนื้อ ₩15,000 ปกติไม่เคยกินซุปสีขาวๆ แบบนี้ กลัวจะจืด ก็จืดจริงแหล่ะ แต่คนเสิร์ฟมาสอนว่าต้องโรยต้นหอม โรยเกลือ พริกไทยนะ พอปรุงแล้ว เอออร่อยจริง เอ็นเปื่อยยุ่ยในปากเลย มิน่าขนาดราคาใช่ย่อย แต่เกือบทุกโต๊ะสั่งชามนี้กันหมด ตอนนี้ รู้ละว่า ถ้าร้านไหนเปิด 24 ชม. อร่อยชัวร์ ไม่งั้นเค้าไม่กล้าเปิดทั้งวันหรอก ถ้าไม่แน่จริง และพนักงานในร้านบริการดีมากค่ะ เห็นเป็นนักท่องเที่ยว สอนวิธีการกินใหญ่เลย ตอนแรกก็แอบตกใจเพราะเอ็นมาชิ้นใหญ่มาก นางก็เดินมาบอกว่า ใช้กรรไกรตัดเลยนะ คงเห็นเราทำหน้างงๆ กินไม่เป็นชัวร์ อิอิ กิมจิที่นี่อร่อยด้วย เปรี้ยวๆ ซ่าๆ ชอบมาก (บางร้านจะไม่ซ่า)        





ตอนยกมาเสิร์ฟ หน้าตาแบบนี้


คนเผ็ดร้อนอย่างเรา ต้องโรยพริกไทยขนาดนี้จ้า


กินไปนิดนึงยังไม่ได้โรยต้นหอม 
คนเสิร์ฟเดินมาบอกว่า ต้องโรยนะ ขาดไม่ได้ อ้อ จ้าๆๆๆ


ช้อปปิ้ง+กิน จนเหลือเงินติดตัวแค่ ₩1,000 เองอ่ะ แหะๆ แต่ไม่กลัวเพราะเมื่อเช้าเพิ่งเติมเงินการ์ดไปอีก ₩10,000 จริงๆ มันยังเหลืออีก ₩7,000+ แต่กลัวไม่พอถ้าจะนั่งแอร์พอร์ตบัส (ค่ารถ ₩10,000) ก็เลยเติมไปก่อน เหลือยังไง เอาไว้ใช้ทริปหน้า 

เดินไปเอากระเป๋า แล้วลากกลับมาที่สถานีฮงแดอีก ดันเซ่อซ่า หาป้ายแอร์พอร์ตบัสไม่เจอ ถามน้องในไลน์ก็ยังไม่ตื่น เดินเลยมาถึง EXIT 4 รถไฟฟ้าอีกทางนึง กระเป๋าก็หนักขี้เกียจลากไปลากมาละ เดินลงไปสถานีไปเลยละกัน เพราะ EXIT นั้นใกล้ AREX มากที่สุดแล้ว แล้วค่ารถไฟ AREX แบบธรรมดา ก็แค่ ₩6,000 สรุปนางเติมเงินมาไม่ได้ใช้ ฮ่าๆๆๆ ไม่เป็นไร เก็บเอาไว้ ... จนนั่งมากลางทางละ น้องตอบไลน์มาว่า ป้ายแอร์พอร์ตบัสอยู่ตรงเกาะกลางถนน เย้ยยย ก็สงสัยอยู่ใช่ป้ายนั้นมั้ย แต่เดินเลยมาแล้วก็ช่างมัน 


กระเป๋าขามามีใบเดียว ขากลับออกลูกออกหลานมาอีก 2


Incheon Airport

มาถึงสนามบินตั้งแต่บ่าย 3 เผื่อเวลาเยอะหน่อยเพราะต้องทำเรื่อง Tax Refund ซึ่งขั้นตอนยุ่งยากมากค่ะ ต้องเอาไปให้เจ้าหน้าที่ประทับตราบนใบเสร็จก่อน ซึ่งบางทีเค้าอาจจะขอตรวจของ แต่ไม่โดนตรวจ เสร็จแล้วถึงจะไปโหลดกระเป๋าได้ 

และก็มีเรื่องให้หน้าแตก เพราะไม่รู้ว่า Korean Air เค้าเคร่งครัด ยอมให้แค่กระเป๋าใบเดียวเท่านั้น ไอ้เราก็คิดว่ากล่องคงไม่เป็นไร เจ้าหน้าที่บอกว่าตามกฎ จะโหลดอีกชิ้นต้องเสีย ₩100,000 เหวอ ของข้างในนั้นมูลค่าแค่ ₩40,000+ เองนะ เค้าจะให้ถือขึ้นเครื่อง ก็ดันมีกระเป๋าลูกน้ำเงินแล้ว เราก็บอกว่า ถ้าไม่ได้ก็ต้องทิ้งไปบ้างแหล่ะ คงถือขึ้นเครื่องหมดไม่ได้ ไปๆ มาๆ นางสงสารอ่ะ เห็นว่ากระเป๋าใหญ่ นน.แค่ 17 กก.เอง ขาดอีกตั้ง 6 โล สุดท้ายยอมให้โหลดกล่องได้ รวมกันก็ยังแค่ 20 โล พนักงานเค้าน่ารักอ่ะ แต่บอกว่าคราวหน้าไม่ให้แล้วนะ เห็นคราวนี้บินเกาหลีครั้งแรก เราไม่รู้จริงๆ นางสงสาร อิอิ จ้าๆๆๆ คราวหน้าจะมาเกาหลี พี่จะเอากระเป๋าใบยักษ์มาเลย

ก่อนเดินเข้าเกท นางเกือบลืมคืน Pocket Wi-fi เกือบไปแล้วมั้ยละ ไม่งั้นจ่ายค่าปรับอีกหลายแสนวอนเลย รวมค่าเช่า-ส่วนลด+ภาษี 5 วัน ₩34,100 (1,078 บ.) ตกวันละ ₩6,820 เท่านั้น ไม่แพงเลยนะ จัดว่าคุ้มกับเน็ตเร็วปรื้ดๆ นี่ถ้ามาหลายคนยิ่งคุ้มกว่านี้ ตอนจ่ายต้องรูดบัตรเท่านั้น เพราะนางหมดตรูดแล้ว แหะๆ

เดินเข้าเกทมาอย่างง่ายดาย ยิ้มให้ ตม. เค้าก็ยิ้มตอบ ไม่เห็นจะดุเลยสักนิด จากนั้นรีบไปขอ Tax Refund ที่ Gate 23 เลย ไปถึงตกใจแถวยาวมาก และต้องต่อ 2 แถวด้วย เพราะบางร้านเป็นป้ายส้ม บางร้านป้ายน้ำเงิน ป้ายน้ำเงินจะแถวยาวกว่า ได้เงินคืนมา ₩29,000 เย้ๆๆๆ มีตังค์กินข้าวทริปหน้าได้อีกหลายมื้อ นี่ถ้าของที่ซื้อจากล้อตเต้มาร์ททำ refund มาด้วย ก็ได้อีกเป็นหมื่นวอนล่ะ เสียดาย งุงิ 


ป้ายสีส้ม ส่วนใหญ่เป็นของที่ซื้อจากพูซาน 
ส่วนสีน้ำเงิน ส่วนใหญ่เป็นร้านในโซล 


กว่าจะเอาเงินคืนจากประเทศเค้า ลำบากนักหนา อยู่ตรงนี้เกือบ ชม.ได้อ่ะ


เย้ๆๆๆ จากเหลือเงิน ₩1,000 มีตังค์ซื้อน้ำแล้วจ้า

Duty free อินชอน มีหลายร้านมาก เดินดูเฉยๆ ไม่ได้ซื้ออะไร ซื้อมาครบแล้วว่างั้น แค่นี้ก็จนไปอีกหลายเดือนละ >//< อยากได้ขนมบางอย่างก็ซื้อไม่ไหว แพงเกิน บอกเลยว่าดิวตี้ไทยถูกกว่าเยอะ 


เดินมาเจอเหม่งที่รักของนูน่า แต่ซื้อไม่ไหวคร๊า US$50 แพงมากกก







เดินไปเกทเลยดีกว่า อยู่เกท 12 คือข้างหลัง ตม. เลยน่ะแหล่ะ อะไรจะเดินใกล้ขนาดน้าน อำนวยความสะดวกสายการบินของชาติเต็มที่ว่างั้น ขากลับก็คนแน่นเต็มลำเหมือนกัน วันหยุดยาวสิงคโปร์นี่นา 




ถ่ายกับเครื่องบินหน่อย ไม่ได้บินไฮโซได้บ่อยๆ หรอกนะ คริๆๆๆ


ก่อนบินขึ้น เครื่องมีปัญหาระบบเทคนิค 
เห็น reset จอตั้งหลายรอบ สุดท้ายต้องดีเลย์ไปครึ่ง ชม.
   
การเดินทางกลับ เป็นอะไรที่ทรมานมาก เพราะตลอด 6 ชม.ไม่ได้หลับเลย ผู้หญิงนั่งข้างๆ นางเป็นหวัด ซื้ดน้ำมูกตลอดทาง กระดาษทิชชู่ก็ไม่พก นั่งซื้ดน้ำมูกอยู่ได้ จนแอร์ต้องคอยเอากระดาษมาให้ นั่งๆ ไปสัก ชม. เราก็เริ่มหายใจไม่ออก คิดว่าติดหวัดนางแน่ๆ เพราะเป็นหวัดอยู่นิดหน่อยก่อนแล้ว ซ้ำเข้าไปอีก ขนาดกินยาแก้แพ้แล้วก็ไม่ช่วย น้ำมูกเริ่มไหลตามนาง 

แล้วขากลับเนี่ย อากาศไม่ดีตลอดทาง สัญญาณรัดเข็มขัดขึ้นทุก 10 นาทีได้เลยมั้ง ตอนเสิร์ฟอาหารก็ต้องคอยเอามือปิดแก้วเอาไว้ กลัวจะกระฉอกออกมา แอร์สจ๊วตเก่งมากอ่ะ เดินเสิร์ฟไม่สะทกสะท้าน แต่คนกินใจไม่อยู่กับเนื้อกะตัว กินไม่อร่อยเลย แอบเสียวว่าจะตกหลุมอากาศแรงเหมือนขามา ... แต่จริงๆ เอ๋ผกากลัวไวน์หก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เครื่องตกอ่ะไม่กลัว กลัวของกินตรงหน้าตกกระจาย ... ขากลับสั่งผัดหมี่เนื้อ กินบิบิมบับมาจุกแล้ว ก็อร่อยดีนะ ไม่จืดชืด ไม่ต้องปรุง ของว่างเป็นไอติมชีสเค้ก อันนี้อร่อยมากอ่ะ อ้อ เที่ยวนี้เค้ามีของว่างให้อีกรอบประมาณ ชม. นึงก่อนเครื่องลง สงสัยเพราะเครื่องดีเลย์เลยเอามาขอโทษ จัดพิซซ่าไปอันนึง อิ่มตื้อ 

โดยรวมแล้ว ชอบบริการ Korean Air นะ ใส่ใจดีทั้งภาคพื้น ทั้งบนเครื่อง แอร์คอยเดินดูตลอดว่าจะเอาอะไร คนป่วยข้างๆ เค้าก็คอยเอาน้ำอุ่น+ทิชชู่มาให้ เจอคนแก่ก็นอบน้อมนั่งลงกับพื้นพูดด้วย แอร์สวยมาก สจ๊วตหน้าไม่ศัลย์ก็หล่อจ๊ะ ยิ่งตอนขากลับหล่อระดับเล่นละครเป็นพระรองได้เลยอ่ะ >//<  จัดว่าคุ้มเงินที่จ่ายไปแล้วล่ะ 





มาถึงสิงคโปร์ตอนเกือบๆ ตีหนึ่ง คนล้นหลาม ตม.แน่นเลย ไม่เคยเจอ ตม.แน่นขนาดนี้มาก่อน คงเพราะเป็นเวลาที่เที่ยวบินไกลๆ จะลงเวลานี้พอดี ... รถไฟฟ้าหมดแล้ว รอต่อแถวแท็กซี่นานมาก เพราะคนเป็นพันแต่มีแถวแท็กซี่ 10 แถว ... คงไม่มีที่ไหนแท็กซี่เยอะเท่ากรุงเทพฯ สินะ ... ถึงบ้านเกือบตี 2 และเช้าป่วยลุกไม่ขึ้น ติดหวัด ผญ.ข้างๆ มาเต็มๆ ลาป่วยอีกวัน TT

จบแล้วจ้า ทริป 5 วันที่มีความสุขตลอด แต่ละวันเดินเยอะมาก เที่ยวแต่เช้ายันดึก สนุกดี ได้เห็นว่าจริงๆ แล้วคนเกาหลีใช้ชีวิตยังไง ผู้คนเป็นยังไง ชอบนะ ... คนเกาหลีถึงจะหน้าบึ้งๆ เสียงดัง โผงผางบ้าง แต่ใจดี ที่ประทับใจที่สุดคือคนพูซาน อาจุมม่าน่ารักดี ไม่พูดอังกฤษแต่พยายามสื่อสารสุดฤทธิ์ คนโซลอาจจะดูเครียดๆ ตามภาษาเมืองหลวง แต่ก็ชอบโดยเฉพาะที่ช้อปปิ้ง อิอิ ... ผญ โซล สวยๆ เยอะ หน้างี้เนียนเลย (ศัลย์บ้างประปราย แต่เอ๋ผกาไม่ถือ เพราะนางก็ศัลย์ ^^) ห้องน้ำเต็มไปด้วยสาวๆ ยืนแต่งหน้า รู้สึกว่าเอ๋ผกาไม่ผิดเหล่าผิดกอก็ที่นี่แหล่ะ ฮ่าๆๆ เพราะ ผญ ในสิงคโปร์เค้าไม่ค่อยแต่งหน้าน่ะ การเติมแป้งในห้องน้ำดูจะแปลกตา ... ส่วน ผช. ต่อให้ไม่ศัลย์ก็บอกเลยว่าหน้าตาดีกว่า ผช.สิง มาเลย์ ปิโน อินโด อินเดีย จ้า!!! คือเอ๋ผกา ชีวิตอับเฉาแวดล้อมด้วยผู้หน้าเหียกว่างั้น ฮือๆๆๆๆ  ... ส่วนอาหาร ไม่ต้องพูดถึง อร่อยทุกมื้อ เสียดายที่กินได้แต่อาหารจานเดียว ถ้ามาหลายคนคงได้กินตัวกลม กลิ้งขึ้นเครื่องบินแน่ๆ  

ใครจะแอนตี้ประเทศนี้ เอ๋ผกาไม่รู้ ชั้นชอบของชั้นก็แล้วกัน ... แล้วจะกลับไปใหม่นะ เกาหลี ...  













Saturday, November 29, 2014

[Travelling] ติ่งตะเวนเกาหลี วันที่ 4 - 20141025 Korean Trip Day 4




วันที่ 4 แล้ว วันนี้ไม่ไปไหนแล้วอยู่แต่ในโซล นั่งรถไฟมา 3 วันจนรู้สึกเหมือนยังได้ยินเสียงตอนรถไฟวิ่งอยู่ ฮ่าๆๆๆ  เมื่อวานเหนื่อยมาก ออกเที่ยวตั้งแต่ 6 โมงถึงเที่ยงคืนกว่า กว่าจะได้นอนเกือบตี 2 ไม่ตั้งนาฬิกาปลุกเลย กะจะนอนให้เต็มที่ แล้วก็เต็มที่จริงๆ นางเหนื่อยหลับสนิทไม่รู้สึกตัวเลยยัน 9 โมงครึ่ง ก็ไม่ได้ตั้งใจจะตื่นสายขนาดนั้นหรอกนะ อิอิ ลองจัดกระเป๋าดูก่อนว่าพอจะมีที่เหลืออีกมั้ย ชั้นจะได้ช้อปปิ้งต่อได้ อาบน้ำ แต่งตัว นั่งเล่น นั่งจัดกระเป๋า กว่าจะออกจากที่พักเกือบเที่ยง



เปิดประตูออกมาเจอนางนอนท่านี้ ขำมาก น่ารักดีอ่ะ
อากาศอุ่นขึ้นประมาณ 15-16 องศา นางคงร้อน นอนแผ่หลาเลย


หิวอ่ะดิ หาของกินก่อนเลย มีร้านใกล้ที่พักที่เล็งมาหลายวันแล้ว เปิด 24 ชม. อยู่ตรงหัวมุมถนนก่อนเลี้ยวไปที่พัก (ถ้ามาจากสถานีฮงอิก EXIT 2) มองเข้าไปคนเยอะตลอด จัดเลยละกัน ในร้านไม่มีป้ายอังกฤษเลย ยังดีมีรูปภาพให้ดู ก็เลยถามเค้าว่าอันไหนกินได้สำหรับคนเดียว โชคดีที่อาจุมม่าพูดอังกฤษคล่อง บอกเลยว่าร้านนี้ไม่มีเนื้อ ก็เลยได้เมนูนี้มา ซุบกระดูกหมู (แฮจางกุ๊ค 해장국) อ่านในเน็ตเค้าบอกว่าเป็นซุปสำหรับ "แก้อาการเมาค้าง" อ้อ มิน่าล่ะ เครื่องเทศเยอะมาก เผ็ดร้อนสะใจ คนเมาก็ต้องตาตื่นล่ะ เราก็ว่าคนสั่งกันทุกโต๊ะเลย เมื่อคืนจัดหนักกันล่ะสิ ฮ่าๆๆๆ แต่มันน่าจะช่วยได้จริงๆ นะ ขนาดเราไม่เมาแต่เหนื่อยๆ มากินยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น มันอร่อยมากอ่ะ ชอบๆ หมูติดกระดูกเคี่ยวมาจนเปื่อย เลาะออกง่ายมาก ตอนแรกก็งงจะกินยังไง ตะเกียบก็ใช้ไม่คล่อง แต่เอาเข้าจริง เลาะเนื้อง่ายมากๆ     



ร้านนี้จ๊ะ อยู่ตรงหัวมุม หาไม่ยาก


เชื่อแล้วว่าคนเกาหลีกินเหล้าเยอะจริงๆ ข้าน้อยขอคารวะ
นี่แค่เที่ยงวัน กินเบียร์หมดไปหลายขวดละ
แต่พวกฮีก็มากินซุปแก้แฮ้งค์ไปด้วยนะ แล้วมันจะถอนได้มั้ยอ่ะ


ไงล่ะ เครื่องเทศเผ็ดร้อนขนาดนี้ ไม่หายเมาให้มันรู้ไป


เครื่องเคียงเหมือนกันทุกที่ เริ่มเสพติดการกินพริกจิ้มเต้าเจี้ยวแล้วดิ


ไม่ใช่มีแต่กระดูกหมููนะ เนื้อติดกระดูกเยอะมาก นุ่มเปื่อยมาก เลาะง่ายสุดๆ


เห็นมั้ยล่ะ เลาะซะเกลี้ยงเลย นี่ขนาดใช้ตะเกียบไม่คล่องนะ ไม่ใช้มือเลยด้วย


มื้อนี้จ่ายไป ₩7,000 (230+ บ.) จัดว่าไม่แพง เพราะซุปถ้วยใหญ่พอควร ใส่ข้าวไปครึ่งถ้วยเองยังอิ่มท้องจะแตก (แต่มื้อแรกเลย) และได้อะไรมากกว่าความอร่อย คือ 3 วันที่ผ่านมา นั่งแต่รถไฟ ไม่กล้ากินหนัก กินแต่คิมบับ เมื่อคืนก็กินเกี๊ยว มีแต่แป้ง เอ๋ผกาเป็นคนไม่ถูกโรคกับอาหารพวกแป้งๆ ย่อยยาก เมื่อคืนปวดท้องมากเพราะท้องอืดมาก ถึงที่พักกินยากระต่ายบิน แอบตดไปหลายปื้ดกว่าจะนอนได้ ฮ่าๆๆๆ หลังว่าเตียงข้างๆ จะไม่รับรู้ถึงเสียง+กลิ่นนะ เค้าแอบตดในผ้าห่มหนาแล้วอ่ะ >//<  เช้าตื่นมาระเบิดท้องไป 2 รอบ ก็ยังปวดๆ อยู่นิดๆ แต่พอหลังจากกินซุปนี้ไม่ถึงครึ่งชม. ระเบิดออกหมดไส้หมดพุงเลยจ้า สบายท้องมาก หายเป็นปลิดทิ้ง สะใจนางสุดๆ ฮี่ๆๆๆๆ 


Bukchon 

สบายตัวแล้วเที่ยวต่อได้ อ๊ะๆ แม้วันนี้จะอยู่ในโซล ก็อย่าได้คิดว่าคนอย่างนางจะเที่ยววัด เที่ยววัง ไม่มีซะละ แน่นอน หาที่เดินเล่นชิลๆ ช้อปปิ้งบ้างไรบ้างดีกว่า นั่นแหล่ะถึงจะเหมาะกับนาง นั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานี Anguk แล้วเดินเรียบรั้ววังกันดีกว่า

แต่ก็หลงทิศทางอีกจนได้ สุดท้ายก็เดินตามๆ เค้าไป แล้วก็มาเจอทางเดินเป็นกำแพงสูงๆ มีต้นไม้ตลอดทาง ร่มรื่นดี ตอนนั้นประมาณบ่าย 2 ดูเหมือนว่าย่านนี้จะเป็นถนนคนเดินเล็กๆ เริ่มมีคนมาตั้งขายของตามทาง ส่วนใหญ่เป็นของแฮนเมด เดินเพลินๆ  



ตรงนี้เป็นคอฟฟี่ชอป แต่คนขายนี้มานั่งขายต้นไม้จิ๋วอยู่ข้างหน้า
มุดเข้าไปนั่งขายในห้องกระจกเล็กมากๆ 
ฉลาดนะเนี่ยถ้าอากาศหนาวเป็นที่กันลมอย่างดีเลย


ซอกซอยเล็กๆ เต็มไปด้วยของแฮนเมด ไม่ได้ซื้ออะไร ไม่ค่อยเก็บของพวกนี้


ตรงไหนมีคนมาเล่นดนตรีเปิดกล่อง (ก็เค้าไม่ได้ใช้หมวก)
รอบๆ ก็จะมีคนนั่งฟังเพลงเคลิ้มๆ ชิลๆ 


อุดหนุนกิ๊ปร้านนี้มาตัวนึง ₩2,000 รำคาญผม
ถูกมาก เดินไปเจอแบบเดียวกันร้านข้างหน้า ตัวละ ₩4,000 แหน่ะ



บรรยากาศร่มรื่นดี 



อ้อ ถนนตรงนี้เค้ามีชื่อด้วย Dalssi Market เย็นกว่านี้คงมีของมาขายอีกเยอะ 

ตรอกซอกซอยแถวนี้ จะมีร้านขายของเล็กๆ หลายร้าน ขายของเก๋ๆ ทั้งนั้นเลย ราคาเหมือนจะสูงกว่าที่อื่นบ้าง แต่เอ๋ผกาชอบนะ มันเดินสบายๆ คนไม่ถึงกับแออัดยัดเยียดนัก แต่ละร้านใช้พื้นที่เล็กๆ ให้เป็นประโยชน์มาก ตกแต่งร้านให้ยิ่งชวนเดินเข้า จริงๆ ก็เดินเข้าเกือบทุกร้านแหล่ะ เว้นแต่ร้านที่คนแน่นล้นออกมาจริงๆ ฮ่าๆๆๆ แต่ไม่ได้ซื้ออะไรเพราะส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าหน้าหนาว  








เดินออกมาถึงตรงวังคยองบ๊ค แต่ไม่ได้เข้าไป เดินเลาะๆ ตามถนนฝั่งร้านค้า เป็นถนนที่เดินชิลๆ มากนะ ถ้าใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวย แต่เสียดายที่ความพลุกพล่านของรถ (โดยเฉพาะรถทัวร์) ทำให้เสียบรรยากาศไปเยอะ เพราะถนนแคบแต่รถเยอะมาก มองไปมีแต่รถติด  




เดินมาเจอลุงกับป้าขายขนมโบราณ (อยู่ตรงแยกที่พลุกพล่านน่ะแหล่ะ) เป็นขนมน้ำตาลชื่อ ทัลโกนา (달고나) เห็นคนมุงกัน อันละ ₩1,000 เอง แต่จริงๆ คนซื้อไม่กี่อันหรอก แต่มุงแอ๊คท่าถ่ายรูปกับลุงคนทำ อุดหนุนมาอันนึง อร่อยดี ไม่หวานเกินไป 





แล้วก็เสียตังค์จนได้ ที่ร้าน Tak Girl เห็นหมวกใบนึงชอบมาก เลยซื้อมา 2 ใบ อีกใบให้พี่สาว ราคาใบละ ₩19,000 จริงๆ มีหลายร้านที่ขายหมวก (คนที่นี่คงจะชอบใส่หมวกกันมาก) ร้านนี้เหมือนจะราคาแพงกว่าร้านอื่น แต่ไม่มีทรงที่ถูกใจ 







หมวก 2 ใบ 2 สี ของพี่กับน้อง


ใน Bukchon มีที่ท่องเที่ยวชื่อดังอีกที่คือ Bukchon Hanok Village ทีแรกตั้งใจจะไม่เดินไปเพราะเห็นบ้านโบราณจากจอนจูมาเต็มที่แล้ว แต่เดินๆ ไป หลงเข้ามาจนได้แหล่ะ เหมือนมีแรงดึงดูดจริงๆ ซึ่งคนเยอะมาก ดีนะที่เราถ่ายรูปจากจอนจูมาเยอะแล้ว ก็เลยไม่ซีเรียสเดินชิลๆ ดูวิวมุมสูง Hanok Village ที่นี่จะอยู่บนเนินเขา เดินเหนื่อยกว่าว่างั้น 



คนเป็นหนอน หามุมถ่ายรูปไม่ได้เลย
   

จะถ่ายมุมไหน ก็มีแต่คนยืนต่อคิวรอ


ช่างมัน ถ่ายมันติดคนนี่แหล่ะ แต่อันนี้ขึ้นบันไดไปถ่ายสูงกว่าคนอื่นนิดนึง
กลัวขาตั้งกล้องโดนหัวคนอื่นว่างั้น ไม้เซลฟี้เราใหญ่กว่าเค้า ฮ่าๆๆๆ


เดินเล่นดูวิวมุมสูงอีกนิดหน่อย

Samcheong-dong

เดินๆ ไปเริ่มเมื่อย จะเดินกลับทางเดินก็คนเยอะขึ้นเรื่อยๆ โชคดีเจอบันไดทางลัด แต่ชัน+หลายขั้นมาก ต้องเกาะราวดีๆ ถ้าสะดุดตกไปขาหักแน่ๆ เดินไปใจเต้นตุ่มๆ ต่ำๆ ไป (เพราะกลัวความสูง) แต่ก็ประหยัดเวลาเดินไปเยอะ ลงมาถึงข้างล่างเป็นถนนชื่อว่า Samcheong-ro ชอบย่านนี้นะ มีพวกร้านอาหารเก๋ๆ ที่สร้างตามแนวเชิงเขา ส่วนใหญ่ทำเป็นระเบียงให้มองวิวมุมสูงได้ ชอบบรรยากาศแบบนี้ นี่ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ได้นั่งจิบไวน์ มองวิวเพลินๆ แน่ๆ 

เออ ว่าแต่คนเกาหลีชอบกินกาแฟกันจริงๆ จังๆ บรรยากาศแบบนี้สำหรับเอ๋ผกา นางอยากจิบไวน์โรเซ่เย็นๆ ยิ่งนัก แต่หาร้านขายไวน์ไม่ได้เลย มีร้านนึงต้องปีนบันไดกลับขึ้นไปบนเขาอีก เห็นมีแต่ร้านคาเฟ่ชา กาแฟ ซึ่งนางไม่กินกาแฟ บางคาเฟ่ก็พอจะมีไวน์บ้าง แต่เป็นไวน์ขาว ไวน์แดงขวดเล็กๆ ไม่มีโรเซ่ อ้อ ส่วนใหญ่มีเบียร์ขวด ซึ่งนางก็ไม่ชอบกินเบียร์ด้วยสิ เรื่องมากเน๊อะ    







เท่าที่เห็น ส่วนใหญ่คนเดินแถวนี้เป็นคนเกาหลี น่าจะเป็นแหล่งนั่งชิลๆ ของเค้าแหล่ะ ฝั่งตรงข้ามร้านอาหารก็จะเป็นร้านเสื้อผ้า หมวก ร้องเท้า ร้านแฟชั่นแถวนี้ค่อนข้างมีสไตล์ ไม่วัยรุ่นจ๋า 



ร้าน 5 Dollars มีหลายสาขา มีของกระจุ๊กกระจิ๊ก
เครื่องประดับ หมวก ราคาไม่แพง ₩5,000-15,000 
นี่ถ้าไม่ซื้อหมวกมาก่อน คงได้จัดจากร้านนี้แน่ๆ 


หลังร้านนี้ดูจากโครงสร้าง น่าจะเป็นร้านกาแฟมาก่อน 
แต่ตอนนี้มาดัดแปลงเป็นมุมขายเสื้อผ้า ่ขายถูกด้วยนะ 
อยากได้กางเกงขาสั้นตัวนึง แต่ไม่มีไซต์เรา แงๆๆๆๆ

เดินหาร้านไวน์อยู่พักใหญ่ ถอดใจละ มีแต่ร้านคาเฟ่ เบเกอรี่ เอ้า กินน้ำผลไม้ก็ได้ เข้ามานั่งร้าน Wood Brick ท่าทางดี มี 2 โซน เบเกอรี่กับร้านอาหาร ราคาค่อนข้างแพงสำหรับเอ๋ผกานะ เพราะปกติไม่ค่อยเข้าร้านคาเฟ่เท่าไหร่ (ไม่กินกาแฟและไม่ชอบของหวานนัก) ตั้งใจมาสั่งน้ำผลไม้ แต่เจอทาร์ตน่ากิน จัดหน่อยละกัน ไม่ผิดหวังกับทาร์ตอร่อยมากกก อยากจัดอีกชิ้นเลยอ่ะแต่มันชิ้นสุดท้ายพอดี ส่วนน้ำ Grapefruit ผิดหวังที่สุด ไม่อร่อยเลย ขมปี๋ แต่ก็กินหมดนะเสียดายตังค์ TT   



ราคาส่วนใหญ่  ₩6,000+



London Cheese Tart  ₩6,000  Grapefruit ₩6,200 

Insa-dong 

เดินย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟฟ้า Anguk ไปทาง EXIT 6 เพื่อไป Insa-dong ย่านอาร์ตๆ คนเยอะมาก แต่ก็เดินเพลินๆ ไม่ได้ซื้ออะไรแต่ชอบดูของแนวนี้มันเพลินตาดี ระหว่างทางมีคนมาโชว์อะไรเล็กๆ น้อยๆ ตลอดทาง 



 

ตรงนี้เค้าขอรับบริจาคช่วยผู้ลี้ภัย แอบสงสารคนที่โดนมัด 
อยากช่วยอ่ะแต่ตอนนั้นดันมีแต่แบงค์ใหญ่


บรรยากาศฮาโลวีนใกล้เข้ามาละ 
ครอบครัวนี้น่ารักดี แม่จัดให้ลูกแต่งตัวเต็มมาก

เดินมาถึง Ssamziegil (쌈지길) เป็นที่ๆ สนใจที่สุด แต่คนเยอะมาก เดินไหลๆ ตามๆ กันไป ถ่ายรูปไม่ค่อยได้แอบเสียดาย ไม่น่ามาวันหยุด แต่ไม่เป็นไรถือว่าเดินชิลๆ ก็พอละ เค้าทำตึกได้เก๋ดี เป็นทางเดินลาดๆ ไม่ต้องพึ่งบันไดแป๊บเดียวก็ไปถึงชั้นบนละ  





คนเยอะมากจนต้องยื่นหน้าออกมา อีกนิดนางจะตกตึกตายละ ฮ่าๆๆ


ยิ่งแก่ขึ้น หนังตาซ้ายตก เพราะข้างซ้ายจะสายตาสั้นกว่าขวาเยอะ เลยติดหรี่ตาข้างนี้
แวะเข้าไปหาหมอศัลยกรรมเลยดีมั้ย คริๆๆ


มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะพอควรนะ แต่ถ่ายไม่ค่อยได้ คนจองหมดแล้ว


ร้านถ่ายรูปชุดฮันบก คนเต็มเช่นกัน


มีสวนดอกไม้ชั้นดาดฟ้า แต่ต้นไม้ใบไม้ร่วงหมดละ


ร้านขายป้ายให้เขียนห้อยรวมๆ กัน (คล้ายๆ แขวนกุญแจอ่ะ)

อยู่บน Ssamziegil แป๊บเดียว เย็นแล้วเดี๋ยวต้องไปอีกที่ เดินออกมาเจอเจอฝรั่งกำลังยืนร้องเพลงเกาหลี ฮาดีอ่ะ ร้องชัดแจ๋วเลย ท่าทางจะอยู่เกาหลีมานาน 



เดินมาถึงกำลังร้องเพลง Nobody เล่นกับคนดู 


ร้องเพลงอาจัชชี่ คนดูร้องตามด้วยนะ


Sinsa-dong 

มารถไฟฟ้าสถานี Sinsa มาเดินเล่นต่อแถว Sinsa-dong (Garosu-gil Road) เป็นย่านช้อปปิ้งเล็กๆ คนไม่พลุกพล่าน เพราะของที่ขายค่อนข้างจะหรูมั้ง แต่แอบชอบเดินย่านนี้มากกว่า เพราะความไม่พลุกพล่าน คนขายไม่ตื้อนี่แหล่ะ 


เดินแถวนี้ ให้บรรยากาศเหมือนเดินช้อปปิ้งแถวยุโรปไงมะรู้ อิอิ


เชื่อเหอะว่า ผู้หญิงเกาหลีเอวเล็กจริงๆ 
นี่คือกระโปรงฟรีไซต์ของเค้าแล้วอ่ะ 


และแล้วก็ต้อนมนต์ป้าซงจีฮโยจนได้  
ส่งสายตาร่ายมนต์เรียกเราให้เสียตังค์ 
นี่ขนาดไม่รู้จักแบรนด์ Banila co.มาก่อนเลยนะ ยังมดไป ₩46,000 -_-"


ได้มา 2 ชิ้น ขอบอกว่าชุดแต่งคิ้วใช้ดีมากจ๊ะ สีพอดีกับเราเลย
ส่วนแป้งไฮไลท์ก็ใช้ดี หน้าวิิ้งๆ ดีจ๊ะ

นี่แหล่ะ สาเหตุที่มาถึงย่านนี้ เพราะจะมาร้านออมม่าของแกตุงอ่า จากเรื่อง Fated to Love You เห็นจากในละคร ชอบมากอยากได้มาครอบครอง ลอง search หาในเน็ตก็เจอว่ามีขายจริงๆ ชื่อแบรนด์ว่า Youk Shim Won ถึงจะรู้ว่าราคาเลือดซิบๆ ก็เหอะ แต่ก็อยากได้อยู่ดี เรียกได้ว่าเป็นชิ้นที่แพงที่สุดในทริปนี้ และแพงที่สุดในบรรดากระเป๋าที่มีอยู่ แต่จะบอกว่าใบนี้จะถูกสุดในรุ่นแล้วนะ ₩288,000







เล็งสีนี้มาตั้งแต่ในเน็ต และมีทรงนี้ทรงเดียว
คือมีปัญญาซื้อได้ทรงเดียวนี่แหล่ะ เพราะราคาถูกสุด


เดินย่านนี้ประมาณ ชม.กว่าๆ พักกินน้ำนิดนึง ยังไม่กินข้าวเย็นกลัวไม่มีเวลาไปอีกจุดนึง ซึ่งต้องไปถึงไม่ควรเกิน 2 ทุ่ม แวะร้าน Coffee Smith เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเกาหลี แวะร้านดังซะหน่อย ที่นั่งเต็มเอี๊ยด สาขานี้ตกแต่งไฮโซนิดๆ เหมาะกับย่านนี้ว่างั้น


เริ่มติดใจน้ำ Ade แล้วสิ (ออกเสียงแบบเกาหลีว่า เอ-ดึ) หวานเปรี้ยวซ่า ชื่นใจดี
อันนี้คือ Smith Ade Blue ₩4,000


ไฮโซแนวอาร์ตนิดๆ ชั้น 2 สูงเชียว แน่นทุกโต๊ะขอบอก

Banpo Bridge (반포대교)

ที่ต้องรีบมา เพราะที่สะพาน Banpo จะมีแสดงน้ำพุ รอบสุดท้ายประมาณ 9:30 เดินทางไปที่สถานี Express Bus Terminal แล้วเดินไปที่สะพาน เดินค่อนข้างไกลแต่ก็พอเดินไหว อากาศจะยิ่งเย็นขึ้นเพราะใกล้แม่น้ำ ลมพัดเย็นใช้ได้เลย คิดถึงเสื้อโค้ชก็ตอนนี้แหล่ะ ทางเดินไปสะพาน ดูจากบล็อคน้องมินเลยค่ะ http://seoulcafe2013.blogspot.sg/2014/09/banpo-bridge.html เข้าใจง่ายดี น้องอธิบายละเอียดมาก 

เห็นเค้าบอกว่าการแสดงจะมีทุกครึ่งชั่วโมง รอบนึงก็นานอยู่นะ เหมือนจะแบ่งเป็น 2 ช่วงด้วย ไม่แน่ใจเพราะมัวแต่ถ่ายรูป มันก็สวยนะ แต่เหมือนจะเปิดไฟไม่สุดหรือเปล่าไม่รู้ ไม่ค่อยเห็นว่ามันเป็นสีรุ้งเท่าไหร่ ไม่เป็นไรดูเพลินดี เพลงที่เปิดประกอบเพราะด้วย มีคนมานั่งดูเพียบ เอ๋อยู่ตรงนี้จนถึงรอบสุดท้ายเลย ถ่ายรูปเพลินดูเพลิน จนไม่ได้สังเกตุว่า หัวตัวเองเย็นเจี๊ยบ ยืนตากน้ำค้างริมน้ำตั้งนาน แหะๆ








อีกด้านนึงของสะพาน มีตึกกระจกที่เปิดไฟสีๆ สลับๆ สีด้วยนะ ถ้าจำไม่ผิดเคยเห็นตึกนี้ในเรื่อง City Hunter ที่มินโฮกับยัยผักเน่าเล่น ตอนกลางคืนสวยมาก ถ้าตั้งเวลาถ่ายรูปจะได้สีไม่ซ้ำกันเลย แต่ถ่ายมานิดเดียว 3 ทุ่มครึ่งแล้ว ภารกิจในโซลยังไม่หมด อ้อ ใครหิว ไม่ต้องห่วง ใต้สะพานมีรถมาขายของว่างเพียบเลยจ๊ะ อยากกินเหมือนกัน หิวมาก แต่กลัวเวลาไม่พอ  






มองๆ ไป สะดุดกึ๊ก เอ๊ะทำไมร้านนี้มีแต่สาวๆ ต่อคิว


แหม ก็ดูอปป้าคนขายสิคะ หน้าตาดีใช่เล่นเลย ตัวสูงด้วยอ่ะ
นี่ถ้าไม่รีบ จะต่อคิวอุดหนุนซะหน่อย


Lotte Mart - Seoul Station Branch (롯데마트-서울역점)

ภารกิจสุดท้ายของวันนี้ ก็คือซื้อขนมที่ล้อตเต้มาร์ทนี่แหล่ะ ตอนแรกว่าจะเอาไว้ซื้อวันอาทิตย์ แต่น้องที่อยู่เกาหลีบอกมาว่าเค้าจะปิดอาทิตย์ที่ 4 นะ โห ดีนะที่น้องเตือนก่อน ไม่งั้นอดแน่ มาถึง 4 ทุ่มครึ่ง มีเวลา ชม.กว่าเท่านั้นเพราะปิดเที่ยงคืน คนเยอะมาก ไม่ได้กล้าซื้ออะไรมากเพราะกลัวจะหิ้วไม่ไหว ต้องรีบให้ทันรถไฟฟ้าสาย AREX เที่ยวสุดท้ายด้วย และสายนี้จะเดินไกลมาก นางกลัวแขนตัวเองหลุดว่างั้น



ซื้อมาได้แค่นี้ ขนมอร่อยทุกอย่างจ๊ะ เอาไปวางไว้ที่ทำงานแป๊บเดียวหมด
ส่วนหม้อเกาหลี อิอิ น้องที่บ้านฝากซื้อจ๊ะ บ้านที่สิงคโปร์ใช้หม้อเกาหลี
มันไหม้ไปใบนึง ซื้อใบใหม่มาแทน

Costa Bonita

ซื้อเสร็จแพ็คใส่กล่องเสร็จตอน 11:45 โหทำเวลาสุดฤทธิ์ รีบวิ่งไปสถานี AREX เที่ยวสุดท้ายพอดีเลยอ่ะ หอบแฮ่กๆ โชคดีที่ค่อนข้างจะคุ้นทางเดินในสถานีโซลจากตอนที่ไปพูซาน เลยรู้ทิศทางดี วิ่งเร็วปรื้ด กลับมาถึงฮงแดตอนเที่ยงคืนครึ่ง ใจจริงอยากไปหาเบียร์กินย่าน ม.ฮงอิก แต่เหนื่อยมากแล้วไม่ไหวแฮะ เจอร้านเบียร์แถวที่พักยังไม่ปิด ขอหน่อยแล้วกันนะยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย หิวมาก แวะเลย ร้านชื่อว่า Costa Bonita คนไม่เยอะมากเพราะดึกมากแล้วมั้ง 



รูปนี้มาถ่ายตอนเช้าอีกวันหนึ่ง ร้านอยู่หัวมุมตรงทางเดินไปที่พัก


นางแบกของหมดนี่เข้าร้านเบียร์จ้า ไม่แคร์ใดๆ หญิงแกร่งซะอย่าง


สั่งเบียร์ดำมา ขมดีชอบ


ผัดซีฟู้ด ตอนสั่งพนักงานถามอีกครั้งจะสั่งจานนี้เหรอ
เพราะจริงๆ ร้านนี้ขายไก่กับเบียร์ แต่ไม่กินไก่เลยเลือกอันนี้
พอมาเสิร์ฟก็เลยรู้ว่าทำไมคนขายแปลกใจ เพราะมันจานใหญ่มาก


ไม่รู้เบียร์มันแก้วเล็กไป หรืออาหารจานใหญ่ ฮ่าๆๆๆ
รสชาติโอเคนะ แต่ดูจะไม่เหมาะกับเบียร์ดำ ทำให้อาหารรสชาติเฝื่อนๆ ไป


โต๊ะนี้มากินเลี้ยง โต๊ะใหญ่สุดในร้านละ 
ผู้หญิงเกาหลีเค้าหน้าใสกันหมดจริงๆ 
มองๆ พวกนางเพลินมาก


ตอนนั้นคือตีหนึ่งกว่าแล้ว ใจจริงอยากกินเบียร์ต่ออีก
แต่กลัวจะหลับคาเก้าอี้เค้า เนื่องจากเหนื่อย
กลับไปนอนเหอะผกาเอ้ย

แอบเสียดาย ทำไมเราเดินผ่านร้านนี้ทุกวันแต่ไม่แวะเนี่ย เด็กเสิร์ฟสูงขาวหน้าตาดีทุ๊กคนนน นูน่าไม่อยากกลับไปนอนเล้ยยย ฮ่าๆๆๆๆ แม้จะไม่พูดอังกฤษ ฟังไม่ค่อยออกด้วย แต่ก็พอสื่อสารกันได้ ด้วยภาษานิ้วชี้ และช่วยถือของหนักไปส่งที่โต๊ะด้วย น่ารักอ่ะ >,,< 

โอเคจ้า หมดอีกหนึ่งวันในโซลแล้ว เที่ยวไม่เหมือนใคร เดินเล่นดูนั่นดูนี่ ดูผู้คน แต่เป็นคนชอบเที่ยวแนวนี้เองแหล่ะ มีเวลาให้โซลน้อยไปหน่อย คราวหน้าสัญญาจะกลับมาใหม่อยู่แต่ในโซลอย่างเดียวให้ทั้่วเลย