Monday, August 17, 2015

[Beauty] สไลด์คิ้วสไตล์เกาหลี


ไปทำสวยคิ้วมาค่ะ เพราะตั้งแต่ตัดผมสั้นกุด เวลาไม่แต่งหน้า หน้ามันโล้นๆ ผวาตัวเอง ฮ่าๆๆ หลังจากหวงคิ้วตัวเองมานาน สุดท้ายทนตัวเองไม่ได้ ไปทำเหอะ ... 

จริงๆ เอ๋เขียนคิ้วพอได้นะ แต่มันออกมาแต่ละวันไม่เหมือนกัน แล้วแต่ปัจจัย บางวันรองพื้นฉ่ำไป เขียนไงก็ไม่คม แล้วยิ่งเวลามาบ้านแม่ตอนหน้าร้อน ดินสอเขียนคิ้วละลาย เขียนยากมาก หมด cutton buds ไปหลายอันกว่าจะปาดได้เข้ารูป 

แอบคิดเรื่องทำคิ้วมานาน แต่กลัวไง กลัวไม่ดีแก้ไม่ได้ กลัวเจ็บ กลัวติดเชื้อ กลัวต้องโกนคิ้ว (ที่หวงมาก) กลัวทำแล้วหลอกตา บราๆๆๆ ... แล้วพอมาเห็นเฟสพี่คนนึงที่รู้จักที่ไปเรียนมาจากเกาหลีเลย (ชื่อพี่หญิง) พี่ ญ พูดถึงการสไลด์คิ้วสไตล์เกาหลี ไม่เจ็บมาก และรูปทรงก็ถูกใจในแบบที่อยากได้ ติดตามดูมาพักใหญ่ จนกล้าตัดสินใจทำ 

ก้อปปี้มาจากเฟสพี่ ญ ของร้านเผื่อจะเห็นภาพมากขึ้น .... "สไลด์คิ้ว คือ การใช้เครื่องสักขูดผิวหนังชั้นนอกให้เกิดการถลอกแล้วผลักสีเข้าไปแทนที่ ตื้น เจ็บน้อย เลือดออกน้อยมาก สีติดสม่ำเสมอกว่าการเพ้นท์ลายเส้น สีติดนานประมาณ2-3ปี แล้วค่อยๆจางลงไปในที่สุด จะไม่อยู่นานจนถึง5-10 ปีและไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว มองเผินๆเหมือนเขียนคิ้ว เมื่อจางแล้ว เบื่อทรงเก่า สามารถแก้ไข ปรับเปลี่ยนทรงใหม่ได้ตามยุคสมัย..."



นี่คือคิ้วที่ตัวเองเขียน พอเป็นรูปร่างนะ แต่หางตกทุกที มีคนเคยทักว่าทำให้โหงวเฮ้งไม่ดี แต่ก็พยายามเขียนไม่ให้ตก ก็ได้แค่นี้ล่ะ



มาถึงร้านแล้วงานลบคิ้วต้องมา เห็นมั้ยล่ะหน้าโล้นมาก ยิ่งพอไม่มีผมยาวมาปิดยิ่งไปกันใหญ่




กลัวคนจะตกใจ แอบใส่ฟิวเตอร์หน้าเนียนนิดนุง มองด้านข้างเนี่ย ไม่เห็นคิ้วเลย



จากนั้นก็ป้ายยาชา ทิ้งเอาไว้สัก 15-20 นาที จนกว่าจะรู้สึกชาตุ๊บๆ



เริ่มแรก พี่ ญ จะเขียนคิ้วให้เราดูก่อน ว่าถูกใจมั้ย ก็มีคุยกัน ปรับความชอบกันพักนึง เอ๋อยากได้แบบไม่โก่งมาก ก็ปรับจนถูกใจเราจริงๆ 

ตอนทำเอ๋ไม่ได้ถ่ายรูปนะ เกรงใจกลัวพี่ ญ จะเสียสมาธิ แล้วมันไม่เจ็บมาก ถ้าเจ็บจะเติมยาชาให้ พอสักพักเริ่มชิน ก็มีเผลองีบหลับเป็นบางช่วง ... บอกได้เลยว่าเจ็บน้อยมาก จะมีตรงหัวตาที่ sensitive หน่อย และหางตาที่พี่ ญ จะเน้นให้คม แต่ทนได้


รูปนี้ถ่ายตอนก่อนขั้นตอนเช็คงานรอบสุดท้าย นี่ขนาดยังไม่เสร็จ 100% นะงานก็เนี๊ยบมากแล้ว


ถ่ายด้านหน้า สีที่พี่ ญ จัดให้คือ สีน้ำตาลเข้ม ซึ่งตรงกะที่ยากได้ เพราะอีกสักพักจะทำสีผมให้เข้มขึ้นอยู่แล้ว ตรงหัวคิ้วที่แดงๆ คือ ตอนทำมีเลือดซิบๆ จ๊ะ ... เห็นว่าบางคนก็ไม่มีเลือดนะ แล้วแต่ผิวแต่ละคน สงสัยเอ๋ผกาขัดหน้าบ่อย ผิวเลยบางมั้ง ฮ่าๆๆๆ



งานเสร็จแล้วจ้า แค่ ชม กว่าๆ ก็เสร็จแล้ว มีเพลินแอบงีบเป็นบางช่วงด้วย คริๆๆๆ เป๊ะเน๊อะ แต่สีจะไม่เข้มขนาดนี้ตลอดเวลานะ พอสะเก็ดหลุดจะสีเป็นธรรมชาติขึ้น





ถ่ายหลังทำเสร็จครึ่ง ชม. ได้จ๊ะ แผลแห้งแล้ว เริ่มเข้าที่มากขึ้นเน๊อะ



วิธีดูแลคิ้วหลังสักคิ้ว 

1. หลีกเลี่ยงการโดนน้ำ 5 วัน (ล้างหน้าโดยเว้นคิ้วไว้) 
2. เลี่ยงการออกกำลังกาย อบซาวน่า แสงแดด (กิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก) 
3. เลี่ยงอาหารที่มีรสจัด ของหมัก ของดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4. เลี่ยงการสัมผัสรุนแรงเด็ดขาด ห้ามแกะ ห้ามเกา ห้ามถู อาจทำให้อักเสบ สีไม่ติด
5. ทาเจล วิตามินบำรุง ทาบางๆ วันละ 1-2 ครั้ง 
6. ห้ามเขียนหรือแต่งเติมคิ้ว จนกว่าสะเก็ดจะลอกออกหมด 


หมายเหตุ: ช่วงทำคิ้วเสร็จใหม่ๆ จะดูเข้มเป็นเรื่องปกติ หลังทำ 3-5 วัน แผลจะเริ่มตกสะเก็ด สีจะหลุดออกเหลือจางๆ (เส้นขาดแหว่งไม่ต้องกังวล) เติมฟรี 1 ครั้งหลังจากวันสัก 1 เดือนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 3 เดือน



วันที่ 3 ไม่มีบวมหรืออักเสบเลย เริ่มเป็นสะเก็ดแห้งๆ มีร่วงเป็นผงๆ นิดหน่อย ไม่มีรอยแดงตรงหัวคิ้วละ 




วันที่ 6 สะเก็ดหลุดมาครึ่งทางแล้ว และมือคอยจะซนไปเกา เพราะคันนิดๆ ตรงสะเก็ดที่แห้ง ... ถ้าดูตรงสีพื้น ดูเหมือนใช้อายแชโดว์คิ้วปัดเบาๆ ฟรุ้งฟริ้งๆ ไม่หลอกตาเน๊อะ


วันที่ 7 สะเก็ดหลุดหมดตั้งแต่เมื่อคืนก่อนนอน เพราะพอเอาโลชั่นทา พอเอามือลูบก็หลุดมาเอง หลุดแรกๆ สีจะซีดๆ หน่อย แต่วันนี้สีค่อยๆ เข้มขึ้น ... อันนี้แค่เอาแปรงคิ้วปัดๆ คราบรองพื้นที่ติดคิ้วออก แค่นั้นเอง ง่ายมากกกก 

ปล. แปรงมีสีอายแชโดว์น้ำตาลอ่อนที่เช็ดออกไม่หมดติดปลายแปรงนิดนึงจ๊ะ


จัดหน้าตรงด้วย ธรรมชาติมาก แต่งหน้าเร็วขึ้นมาก อิอิ


รูปนี้หลังจากทำมาได้เดือนนึงค่ะ หน้าสดมาสนามบินจะกลับไทย ขี้เกียจไง ไฟล์ทดึกถึงบ้านนอนเลย ตอนนี้ไม่กลัวการหน้าสดละ เพราะเรามีคิ้วเป็นของตัวเอง คริๆๆๆๆ (รูปจากกล้องมือถือ จะสีซีดกว่ารูปข้างบนให้กล้องเลนส์นะคะ) 



อ้อ แต่ทำมาแล้วภายในไม่เกิน 3 เดือน ควรจะไปย้ำสีอีกครั้ง (เติมฟรี 1 ครั้ง) เพราะทำครั้งแรกอาจจะมีแหว่งบ้างถ้าดูแลไม่ดี เอ๋ก็มีแหว่งนิดนึงตรงปลายข้างขวา เพราะมือบอนไปเกาจนสะเก็ดหลุด แหะๆ 

จบแค่นี้ละค่ะ เผื่อเป็นไอเดียทำคิ้วแนวใสๆ ฟรุ้งฟริ้งไม่หลอกตา ให้สาวๆ ได้บ้างนะ  




Saturday, April 25, 2015

[Shopping] เปิดกระเป๋าช้อปปิ้งจากญี่ปุ่น - 20150403-12 Japan Trip




ไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วง 3-12 เม.ย. โตเกียว-คันไซ 10 วันเต็ม กลับมา 2 อาทิตย์แล้วค่ะ แต่งานยุ่งนรกมาก เพิ่งจะได้เวลาเปิดกระเป๋าจัดของซะที นี่ขนจากญี่ปุ่นกลับมาสิงคโปร์หมดนี่ได้ต้องเรียกว่าเก่งมากๆ ฮ่าๆๆ #ช้อปปิ้งญี่ปุ่นหนักมาก เอาจริงๆ ที่หนักเนี่ย น้ำหนักของนะ ราคาไม่หนักเท่าเกาหลี เพราะไม่มีครีมหรือเครื่องสำอางค์ หนักไปทางเสื้อผ้า Uniqlo & GU วิตามิน ของกิน (ที่ถ่ายมาไม่หมด เปิดกินบ้าง ให้คนอื่นไปบ้างละ) 

เคล็ดลับในการช้อปปิ้งต่างแดน ง่ายๆ เลย เอากระเป๋าเปล่าไปใบนึงว่างั้น อิอิ ลำพังเสื้อผ้า 10 วันสำหรับอุณหภูมิประมาณ 10-15 องศา ยังต้องใส่เสื้อไหมพรมอยู่ ให้เอาใส่ถุงสูญญากาศ (ซื้อจาก Daiso) ทำให้แบนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใส่กระเป๋าขนาด 26" ก็พอแล้วจ๊ะ แล้วเอาใส่ซ้อนในกระเป๋า 29" อีกทีนึง 




ของที่ช้อปปิ้งมาหมดนี่ จะรวมอยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ นน.เกือบ 25 โลเลย จริงๆ United Airlines ให้ขนได้ 23 kg. 2 ใบ แต่อีกใบๆ เล็กกว่าใส่ได้แค่ 17 โล เค้าเลยอนุโลมให้ ส่วนถุงสูญญากาศใส่เสื้อผ้า ถ้าเตรียมไปไม่พอ ก็ไปซื้อที่ Daiso ที่นู่นก็ได้นะ 





ขาไปไปแค่ใบเดียว+เป้ใส่ Laptop แต่ขากลับสิ บวมออกมาเพียบ ขนกระเป๋าทั้งหมดเกือบ 50 โล จาก ย่าน Asakusa ไป Narita นั่งรถไฟ 2 ต่อได้ตัวคนเดียว จัดว่าบ้าใช่เล่น ฮ่าๆๆๆ





รองเท้า 


ตั้งใจไปซื้อแต่ Onitsuka Tiger แต่ได้ New Balance มาด้วยเฉยเลย นางแบกกลับมาได้ 3 คู่ 

Onitsuka Tiger TH342N ¥8,640 โชว์พาสปอร์ตลด 10% เหลือ ¥7,776 ซื้อจาก Shop ใน Kobe รุ่นนี้ไม่มีเชือก เบาสบายมากๆ แต่อ่ะนะสีขาวก็เลอะง่าย ไม่เป็นไร เลอะก็โยนใส่เครื่องซักผ้า อิอิ




Onitsuka Tiger THQ425 ¥10,800 - 10% = ¥9,720 รุ่นที่เล็งเอาไว้ในเน็ต แต่หายากมาก ที่ Kobe หมดเกลี้ยง เกือบตัดใจละ มาได้แถว Osaka Umeda




New Balance CRT300 ซื้อจาก ABC-Mart ¥8,964 ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ NB เลยนะ แถมเป็นรุ่นเดียวกับสีฟ้าที่มีอยู่ แต่พอเห็นสีแดงน้ำเงิน อยู่ๆ ก็ถูกใจนางซะงั้น หาเบอร์ผู้หญิงยากด้วย เห็นครั้งแรกที่ Kobe เดินหาอยู่ 3 สาขา สุดท้ายมาได้ที่ Kyoto-Yodobashi เพราะห้างนี้ไม่ค่อยมีคน เหลือเบอร์ ผญ คู่สุดท้ายด้วย ดวงมันจะได้เป็นของเรา มันก็ต้องได้อ่ะนะ ฮ่าๆๆๆๆ

แต่ต้องบอกว่า คุณภาพสู้ซื้อจาก NB shop ในเกาลีไม่ได้ เหมือนผลิตมาเพื่อขายร้านส่ง (ราคาถูกกว่า 400 บ.) ไม่เป็นไร ใส่ชิลๆ ไม่คิดมาก 




Meji Collagen 


หนักทั้งราคาและน้ำหนัก แหะๆ ทีแรกไม่ได้สืบราคา เห็นราคาถูกกว่าสิงคโปร์เยอะก็จัดมาเลย (สีชมพูสิงคโปร์ขายประมาณ SGD35 เกือบๆ 900 บ.) 


ครั้งแรกซื้อสีชมพูที่ Tax Free ของ ฺBig Camera ได้ราคา ¥1,700+ (หาใบเสร็จไม่เจอ จำได้คร่าวๆ) ซื้อมาตั้ง 5 ชุด แล้วมาเจอที่ Drug Store ใน Kichijoji เหลือแค่ ¥1,522 เงิบเลย จัดมาอีกถุง แล้วก็ซื้อสีทองมาด้วย มาผสมกันอัตราส่วน ทอง 1 : ชมพู 3 กินสีทองอย่างเดียวไม่ไหวนะ กระปุกละ ¥3,315 แบบถุง ¥3,037 (แถมแบบขวดมาให้ด้วย)




Bifesta

โลชั่นเช็ดเครื่องสำอางค์ เดี๋ยวนี้ผิวแห้งเลยเปลี่ยนมาใช้รุ่น Brightening โกยมาเท่าที่ร้านเค้ามี อิอิ เช็ดตา ¥722 เช็ดหน้าขวด ¥810 ถุง ¥647 ถูกกว่าซื้อในสิงคโปร์ครึ่งๆ เลย 


ส่วนที่ไม่น่าซื้อมาเลยคือลิป Maquillage แท่งละ ¥3,000 แหน่ะ ลองเอามาใช้ดู ปรากฎเหมือนลิปมันเลย เนื้อแบบลิปเกาหลีบางๆ ไม่เหมาะกับผิวคล้ำแบบเรา กลับไปใช้ Mac แหล่ะดีแล้ว





Shiseido 


ครีมกันแดดชิเซโด้ ขวดละ ¥2,389 ซื้อมาฝากพี่สาว+น้องสาวคนละ 2 ขวด เคยใช้สีทองนะชอบๆ สีขาวไม่เคยใช้ เอามาให้พี่น้องลองดู





GU 

เสื้อผ้า GU ที่เล่นเอากูบ้าคลั่ง ฮ่าๆๆๆๆ คุณภาพเทียบกับราคาแล้วคุ้มมากๆ เสือขาว 2 ตัวล่างขวาแพงหน่อยเพราะ new arrival ¥1,990, ¥1,490 นอกนั้นตัวละ ¥990 เอง 



กางเกง GU ที่บ้ามากไปกวาดซื้อมา 5 ตัว ก็แบบว่าไม่ค่อยมีกางเกงทำงานอ่ะ มันคับหมด ฮ่าๆๆๆ ได้เบอร์ 73 (ใหญ่เกือบสุดของเค้า) สีไหนมีเบอร์นี้เอาหมด ตัวละ ¥1,290 เอง แต่ต้องเอามาตัดขานิดนึง หอบกลับบ้านไทยไปให้ช่างแถวบ้านตัดให้ จริงๆ ร้านเค้าจะตัดขาให้นะ แต่เอ๋ไม่มีเวลาเอง เอากลับมาตัดแถวบ้านเราแหล่ะ นิดหน่อยช่างมัน 




Uniqlo

เสื้อ Uniqlo พลาดได้ไงใช่มะ อิอิ ปกติใส่ยูนิโคล่อยู่แล้ว เพราะสีไม่ตก เอาเข้าเครื่องปั่นรวมเสื้อผ้าอื่นได้ ไม่เสียเวลา เที่ยวนี้จัดมาเพียบ เสื้อมีหลายราคา ตั้งแต่ ¥2,990 (ลายขวาขาวน้ำเงิน) จนถึง ¥1,000 ตัวอื่นจำราคาไม่ได้ จำได้แต่หยิบมาเพราะป้ายเซลล์สีแดง อิอิ



กางเกงขาสั้นใส่ของ Uniqlo อยู่แล้ว จริงๆ ซื้อบ้านเราเวลาลดราคาก็ไม่ถึง 500 บ. แต่นางมีครบทุกสีละ เจอสีไม่ซ้ำเอามาโลด new arrival ก็เอาฟระ ¥1,990 ส่วนตัวน้ำตาลเซลล์ป้ายแดง ¥990 เท่านั้น ได้มาเพราะคิว Tax Free ยาวมาก เห็นอยู่ข้างๆ จัดมาซะ




โค้ชกันลม Uniqlo เซลล์ป้ายแดง ¥5,990 ซื้อที่โอซาก้า คือจำเป็นต้องซื้ออ่ะ เพราะทีแรกดูพยากรณ์ก่อนมา คิดว่าอุณหภูมิประมาณ 13-15 องศา เอาเข้าจริง โอซาก้าฝนตกทุกวัน ลมแรงมากๆ อากาศแค่ 6-8 องศาเท่านั้น เสื้อไหมพรม 2 ชั้น+เสื้อยืดซับใน ก็เอาไม่อยู่จ๊ะ ไหนๆ เจอลดแล้วก็จัดมาละกัน อุ่นใช้ได้ เพราะมี 2 ชั้น ชั้นซับในเอาออกได้ด้วย





ตุ๊กตาห้อยกระเป๋า

ตุ๊กตาห้อยเป้ อิอิ มีเป้เต็มบ้าน หาตุ๊กตาห้อยกันไม่ทัน จัดที่นี่แหล่ะ ร้านไหนมีตุ๊กตาห้อยได้ จัดมา (สิงคโปร์หาซื้อยาก แพงด้วย) แพงสุดคือเจ้าโตโรโร่ เป็นกระเป๋าเศษตังค์ใส่การ์ดได้ ¥1,700 อันปังแมน ¥1,026 Rilakkuma 2 ตัว ¥2,384 ส่วนกระต่ายน้อยถูกสุุด ซื้อร้านเล็กๆ ที่เกียวโต ¥500





ของกิน ของใช้ ของฝากอื่นๆ 

ผงโรยข้าว อิอิ ซื้อจากซุปเปอร์ตึกม่วง Takeya ¥92 เอง มีบางซองซื้อจาก Daiso ¥100



ถั่วของโปรด ถุงละ ¥192 (50+บ.) ในสิงคโปร์ถุงละ S$6 (140+บ.) ต่างกันเห็นๆ




ขนมของฝากจากที่ต่างๆ ที่เยอะสุดคือซื้อจาก Kawaguchiko เพราะนางชอบผลไม้สีม่วงๆ จริงๆ ถ่ายไม่หมดนะ มีแกะกินไปแล้ว ชอบขนมจากเกียวโตมากๆ แต่หมดอายุไว ต้องกินเลย 




ป๊อกกี้ ที่พลาดลืมซื้อจาก Osaka ต้องมาซื้อที่ตึกม่วง เอาไปฝากที่บ้าน


ร่ม Waterfront ลายซากุระ ชอบร่มยี่ห้อนี้มันเบามาก อันสีดำกัน UV ¥1,000 สีฟ้าแบบธรรมดา ¥700



ผักดองของฝากจากเกียวโต ห่อใหญ่ ¥432 ส่วนห่อเล็กเป็นเซ็ตซื้อที่สถานีเกียวโต จำราคาไม่ได้ ¥800+ ได้มั้ง



แผ่นแปะแก้ปวด ขาดไม่ได้เลย เพราะก่อนไปเที่ยวดันนั่งทำงานหลาย ชม.ติดกันเกินไป จนขาขวาแทบยืดไม่ได้ กินยาคลายกล้ามเนื้อก็ไม่ดีขึ้นนัก ต้องบอกว่าของเค้าใช้ดีจริงๆ ดีกว่ายาแก้ปวดอีกจ๊ะ นี่ซื้อใช้ที่นู่นหมดไปกล่องนึงแล้ว อันนี้ซื้อเอากลับมาสิงคโปร์ แผ่นใหญ่กล่องละ 14 ชิ้น ¥2,077 แผ่นเล็กกล่องละ 40 ชิ้น ¥2,267 




หมดแล้วจ้า หมดจริงๆ หมดตัวจริงๆ ฮ่าๆๆๆ วันหลังไปช้อปที่ไหนมา จะเอามาฝากอีกนะ 



  

Thursday, December 4, 2014

[Travelling] ติ่งตะเวนเกาหลี วันสุดท้าย - 20141025 Korean Trip Last Day


วันสุดท้ายแล้วอ่า ไม่อยากกลับเลย งือๆๆๆ เอ๋ผกาชอบอากาศหนาว ต่ำกว่า 0 นางก็อยู่ได้ อยู่ที่นี่หน้าใสมาก ทา BB Cushion หน้าเนียนกริ๊บไม่มีเยิ้ม งุงิ ชั้นอยากหน้าเด้งงี้ตลอดปายยย TT 

ตื่นมาตอน 8 โมง อาบน้ำแต่งตัว จัดกระเป๋าก่อน check-out ออกมาจากห้องตอน 9:40 เอาอีกแล้ว อิผู้จัดการมันหายหัวไปไหน เขียนเบอร์มือถือติดเอาไว้โทรไปก็ไม่รับ มีคนจะเช็คเอาท์คนอื่นด้วย เค้าจะฝากกระเป๋าเอาไว้เหมือนกัน ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ จากมือถือ จนกระทั่ง 10 โมง อิผู้จัดการเดินออกมางัวเงีย หัวยุ่งเชียะ ที่แท้มันนอนหลับไม่ตื่น โทรไปไม่ได้ยิน คนโทรไปเป็นสิบๆ สายเลยเนี่ยนะ กวนมาก เมื่อคืนกลับมาตีหนึ่งกว่าก็ยังเห็นมันเล่นเกมส์ สงสัยเมาไม่ตื่นแน่ๆ เป็นคนดูแลภาษาไรวะ รมณ์เสียแต่เช้าเพราะเวลาวันสุดท้ายก็น้อยอยู่แล้ว นี่แหล่ะสาเหตุที่ไม่แนะนำสาขานี้ คนดูแลห่วยมากๆ



ก็ไม่เยอะเท่าไหร่นะ ว่ามะ (หรา?)
มีน้องบอกว่าพี่เอ๋จัดกระเป๋าเรียบร้อยมาก 
ก็เดินทางบ่อย จัดของให้เต็มได้ทุกอณู อย่าให้มีช่องว่าง


Ewha Womans University (이화여자대학교) & Ewha Shopping Street

กว่าจะได้ฝากกระเป๋าปาไป 10 โมงกว่า เลยเหลือเวลาแค่ 4 ชม.เท่านั้น ไปเดินเล่นช้อปปิ้งเก็บตกอีกหน่อยดีกว่า กระเป๋ายังไม่เต็ม คริๆๆๆ 

นั่งรถไฟฟ้ามาที่สถานี Ewha Womans University EXIT 2,3 ได้ยินว่า ม.หญิง แห่งนี้สวย มีของขายเยอะด้วย และก็ไม่ผิดหวัง ม.เค้าสวยจริงๆ พื้นที่เป็นเนินเขา ทั้งอาคาร สวนดอกไม้ต่างๆ ตกแต่งได้ดูสมเป็น ม.หญิง ใส่ใจรายละเอียดดี ถ่ายรูปที่นี่นานพอควร แดดร้อนแต่ลมพัดเย็นสบาย ชอบมาก ตลกดีทุกคนเห็นไม้เซลฟี้เอ๋ผกา มองแล้วซุบซิปกันใหญ่ ทำไมยะ รุ่นนี้ลมพัดแค่ไหนก็ไม่สะเทือนย่ะ แค่เมื่อยแขนสั่นนิดหน่อย แต่กล้องชั้นมีระบบกันสั่นสะเทือนไม่กลัวภาพเบลออยู่แล้ว 
















เดินออกมาหน้า ม. เป็นย่านช้อปปิ้งของสาวๆ เสื้อผ้าเยอะดี ของทุกอย่างดูน่ารักกระจุกกระจิกไปหมด ราคาไม่แพงมาก นี่ขนาดร้านยังไม่เปิดเต็มที่นะ แต่เอ๋ผกาเดิน 2 ชม.หมดไป 4 หมื่นวอน ฮ่าๆๆๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงแย่ 





ซื้อเป้สีฟ้าลายดอกมาใบนึง ₩10,000
ใบใหญ่ดี แต่ใส่ของมากไม่ได้ เพราะสายกระเป๋าไม่มีบุซัพพอร์ต 
เคยใส่ของหนักทีนึง เล่นเอาไหล่เคล็ดเลย


ได้เสื้อมาตัวนึง  ₩30,000+ ไม่หนามาก เอามาใส่ที่สิงคโปร์ได้
ส่วนกางเกง ซื้อแถวสถานี Express Bus Terminal ตัวละ ₩10,000 ใส่วันสุดท้ายซะเลย 

เก็บตกฮงแด

แวะไป ม.ฮีฮวา แป๊บเดียวจริงๆ เที่ยงๆ ก็กลับมาที่ฮงแด กะว่าจะหาอะไรกินก่อนไปเอากระเป๋าสักหน่อย แต่ไหงนางเดินเข้าช็อป New ฺBalance ซะงั้น แล้วก็ไปเจอรองเท้าน่ารักคู่นึง สองจิตสองใจอยู่นาน เอาดีมั้ยนะ รุ่นนี้มี 2 สี น้ำเงิน กับ ครีม จริงๆ อยากได้สีครีมมากกว่าเพราะเพิ่งซื้อสีฟ้ามา และสีครีมน่ารักมุ้งมิ้งมากๆ แต่กลัวว่าจะสกปรกง่ายไป สุดท้ายก็เลือกน้ำเงินมาจนได้ ราคาโหดพอควร ₩109,000 และไม่มีเบอร์ 6 ด้วย มีแต่ 6.5 คู่สุดท้าย แต่พอลองใส่ก็โอเค เพราะมันหุ้มข้อเท้า ใส่ใหญ่กว่านิดนึงไม่เป็นไร 




New Balance รุ่น 891 ราคา ₩109,000

เดินเล่นแถว ม.ฮงอิก อีกนิดนึง เข้าไปใน ม. บรรยากาศแตกต่างจาก ม.อีฮวา มากมาย ดูแข็งๆ ไม่ตกแต่งหวานแหววเหมือน ม.ของสาวๆ แต่ชอบตึกตรงประตูทางเข้า เข้าใจออกแบบ ถ้าเป็นเมืองไทยอ่ะเหรอ แตกร้าวไม่แข็งแรงตั้งแต่ปีแรกละ งบประมาณอ่ะมีเยอะ แต่คนกินงบประมาณเยอะกว่า ฮ่าๆๆๆ








มุมนี้ถ้าตอนกลางคืนจะมีคนมาแสดงนั่นนี่ 
แต่กลางวัน เงียบมาก

ไก่ทอดคงจะฮิตไม่เลิกจริงๆ เดินไปทางไหนมีแต่ร้านขายไก่ จะกินทัคคาลบี้คนเดียวก็ไม่ไหวแฮะ ข้ามถนนย้อนกลับมาฝั่งที่พัก จากสถานีฮงแด EXIT 1 จะมีร้านซุปร้านนึงที่เปิด 24 ชม.ดีกว่า เห็นคนเข้าเยอะ น่าจะอร่อย ตอนนั้นมีเงินสดเหลืออยู่ ₩16,000 เลยสั่งเมนู Signature ของร้านเลยซะเลย ซุปเอ็นเนื้อ ₩15,000 ปกติไม่เคยกินซุปสีขาวๆ แบบนี้ กลัวจะจืด ก็จืดจริงแหล่ะ แต่คนเสิร์ฟมาสอนว่าต้องโรยต้นหอม โรยเกลือ พริกไทยนะ พอปรุงแล้ว เอออร่อยจริง เอ็นเปื่อยยุ่ยในปากเลย มิน่าขนาดราคาใช่ย่อย แต่เกือบทุกโต๊ะสั่งชามนี้กันหมด ตอนนี้ รู้ละว่า ถ้าร้านไหนเปิด 24 ชม. อร่อยชัวร์ ไม่งั้นเค้าไม่กล้าเปิดทั้งวันหรอก ถ้าไม่แน่จริง และพนักงานในร้านบริการดีมากค่ะ เห็นเป็นนักท่องเที่ยว สอนวิธีการกินใหญ่เลย ตอนแรกก็แอบตกใจเพราะเอ็นมาชิ้นใหญ่มาก นางก็เดินมาบอกว่า ใช้กรรไกรตัดเลยนะ คงเห็นเราทำหน้างงๆ กินไม่เป็นชัวร์ อิอิ กิมจิที่นี่อร่อยด้วย เปรี้ยวๆ ซ่าๆ ชอบมาก (บางร้านจะไม่ซ่า)        





ตอนยกมาเสิร์ฟ หน้าตาแบบนี้


คนเผ็ดร้อนอย่างเรา ต้องโรยพริกไทยขนาดนี้จ้า


กินไปนิดนึงยังไม่ได้โรยต้นหอม 
คนเสิร์ฟเดินมาบอกว่า ต้องโรยนะ ขาดไม่ได้ อ้อ จ้าๆๆๆ


ช้อปปิ้ง+กิน จนเหลือเงินติดตัวแค่ ₩1,000 เองอ่ะ แหะๆ แต่ไม่กลัวเพราะเมื่อเช้าเพิ่งเติมเงินการ์ดไปอีก ₩10,000 จริงๆ มันยังเหลืออีก ₩7,000+ แต่กลัวไม่พอถ้าจะนั่งแอร์พอร์ตบัส (ค่ารถ ₩10,000) ก็เลยเติมไปก่อน เหลือยังไง เอาไว้ใช้ทริปหน้า 

เดินไปเอากระเป๋า แล้วลากกลับมาที่สถานีฮงแดอีก ดันเซ่อซ่า หาป้ายแอร์พอร์ตบัสไม่เจอ ถามน้องในไลน์ก็ยังไม่ตื่น เดินเลยมาถึง EXIT 4 รถไฟฟ้าอีกทางนึง กระเป๋าก็หนักขี้เกียจลากไปลากมาละ เดินลงไปสถานีไปเลยละกัน เพราะ EXIT นั้นใกล้ AREX มากที่สุดแล้ว แล้วค่ารถไฟ AREX แบบธรรมดา ก็แค่ ₩6,000 สรุปนางเติมเงินมาไม่ได้ใช้ ฮ่าๆๆๆ ไม่เป็นไร เก็บเอาไว้ ... จนนั่งมากลางทางละ น้องตอบไลน์มาว่า ป้ายแอร์พอร์ตบัสอยู่ตรงเกาะกลางถนน เย้ยยย ก็สงสัยอยู่ใช่ป้ายนั้นมั้ย แต่เดินเลยมาแล้วก็ช่างมัน 


กระเป๋าขามามีใบเดียว ขากลับออกลูกออกหลานมาอีก 2


Incheon Airport

มาถึงสนามบินตั้งแต่บ่าย 3 เผื่อเวลาเยอะหน่อยเพราะต้องทำเรื่อง Tax Refund ซึ่งขั้นตอนยุ่งยากมากค่ะ ต้องเอาไปให้เจ้าหน้าที่ประทับตราบนใบเสร็จก่อน ซึ่งบางทีเค้าอาจจะขอตรวจของ แต่ไม่โดนตรวจ เสร็จแล้วถึงจะไปโหลดกระเป๋าได้ 

และก็มีเรื่องให้หน้าแตก เพราะไม่รู้ว่า Korean Air เค้าเคร่งครัด ยอมให้แค่กระเป๋าใบเดียวเท่านั้น ไอ้เราก็คิดว่ากล่องคงไม่เป็นไร เจ้าหน้าที่บอกว่าตามกฎ จะโหลดอีกชิ้นต้องเสีย ₩100,000 เหวอ ของข้างในนั้นมูลค่าแค่ ₩40,000+ เองนะ เค้าจะให้ถือขึ้นเครื่อง ก็ดันมีกระเป๋าลูกน้ำเงินแล้ว เราก็บอกว่า ถ้าไม่ได้ก็ต้องทิ้งไปบ้างแหล่ะ คงถือขึ้นเครื่องหมดไม่ได้ ไปๆ มาๆ นางสงสารอ่ะ เห็นว่ากระเป๋าใหญ่ นน.แค่ 17 กก.เอง ขาดอีกตั้ง 6 โล สุดท้ายยอมให้โหลดกล่องได้ รวมกันก็ยังแค่ 20 โล พนักงานเค้าน่ารักอ่ะ แต่บอกว่าคราวหน้าไม่ให้แล้วนะ เห็นคราวนี้บินเกาหลีครั้งแรก เราไม่รู้จริงๆ นางสงสาร อิอิ จ้าๆๆๆ คราวหน้าจะมาเกาหลี พี่จะเอากระเป๋าใบยักษ์มาเลย

ก่อนเดินเข้าเกท นางเกือบลืมคืน Pocket Wi-fi เกือบไปแล้วมั้ยละ ไม่งั้นจ่ายค่าปรับอีกหลายแสนวอนเลย รวมค่าเช่า-ส่วนลด+ภาษี 5 วัน ₩34,100 (1,078 บ.) ตกวันละ ₩6,820 เท่านั้น ไม่แพงเลยนะ จัดว่าคุ้มกับเน็ตเร็วปรื้ดๆ นี่ถ้ามาหลายคนยิ่งคุ้มกว่านี้ ตอนจ่ายต้องรูดบัตรเท่านั้น เพราะนางหมดตรูดแล้ว แหะๆ

เดินเข้าเกทมาอย่างง่ายดาย ยิ้มให้ ตม. เค้าก็ยิ้มตอบ ไม่เห็นจะดุเลยสักนิด จากนั้นรีบไปขอ Tax Refund ที่ Gate 23 เลย ไปถึงตกใจแถวยาวมาก และต้องต่อ 2 แถวด้วย เพราะบางร้านเป็นป้ายส้ม บางร้านป้ายน้ำเงิน ป้ายน้ำเงินจะแถวยาวกว่า ได้เงินคืนมา ₩29,000 เย้ๆๆๆ มีตังค์กินข้าวทริปหน้าได้อีกหลายมื้อ นี่ถ้าของที่ซื้อจากล้อตเต้มาร์ททำ refund มาด้วย ก็ได้อีกเป็นหมื่นวอนล่ะ เสียดาย งุงิ 


ป้ายสีส้ม ส่วนใหญ่เป็นของที่ซื้อจากพูซาน 
ส่วนสีน้ำเงิน ส่วนใหญ่เป็นร้านในโซล 


กว่าจะเอาเงินคืนจากประเทศเค้า ลำบากนักหนา อยู่ตรงนี้เกือบ ชม.ได้อ่ะ


เย้ๆๆๆ จากเหลือเงิน ₩1,000 มีตังค์ซื้อน้ำแล้วจ้า

Duty free อินชอน มีหลายร้านมาก เดินดูเฉยๆ ไม่ได้ซื้ออะไร ซื้อมาครบแล้วว่างั้น แค่นี้ก็จนไปอีกหลายเดือนละ >//< อยากได้ขนมบางอย่างก็ซื้อไม่ไหว แพงเกิน บอกเลยว่าดิวตี้ไทยถูกกว่าเยอะ 


เดินมาเจอเหม่งที่รักของนูน่า แต่ซื้อไม่ไหวคร๊า US$50 แพงมากกก







เดินไปเกทเลยดีกว่า อยู่เกท 12 คือข้างหลัง ตม. เลยน่ะแหล่ะ อะไรจะเดินใกล้ขนาดน้าน อำนวยความสะดวกสายการบินของชาติเต็มที่ว่างั้น ขากลับก็คนแน่นเต็มลำเหมือนกัน วันหยุดยาวสิงคโปร์นี่นา 




ถ่ายกับเครื่องบินหน่อย ไม่ได้บินไฮโซได้บ่อยๆ หรอกนะ คริๆๆๆ


ก่อนบินขึ้น เครื่องมีปัญหาระบบเทคนิค 
เห็น reset จอตั้งหลายรอบ สุดท้ายต้องดีเลย์ไปครึ่ง ชม.
   
การเดินทางกลับ เป็นอะไรที่ทรมานมาก เพราะตลอด 6 ชม.ไม่ได้หลับเลย ผู้หญิงนั่งข้างๆ นางเป็นหวัด ซื้ดน้ำมูกตลอดทาง กระดาษทิชชู่ก็ไม่พก นั่งซื้ดน้ำมูกอยู่ได้ จนแอร์ต้องคอยเอากระดาษมาให้ นั่งๆ ไปสัก ชม. เราก็เริ่มหายใจไม่ออก คิดว่าติดหวัดนางแน่ๆ เพราะเป็นหวัดอยู่นิดหน่อยก่อนแล้ว ซ้ำเข้าไปอีก ขนาดกินยาแก้แพ้แล้วก็ไม่ช่วย น้ำมูกเริ่มไหลตามนาง 

แล้วขากลับเนี่ย อากาศไม่ดีตลอดทาง สัญญาณรัดเข็มขัดขึ้นทุก 10 นาทีได้เลยมั้ง ตอนเสิร์ฟอาหารก็ต้องคอยเอามือปิดแก้วเอาไว้ กลัวจะกระฉอกออกมา แอร์สจ๊วตเก่งมากอ่ะ เดินเสิร์ฟไม่สะทกสะท้าน แต่คนกินใจไม่อยู่กับเนื้อกะตัว กินไม่อร่อยเลย แอบเสียวว่าจะตกหลุมอากาศแรงเหมือนขามา ... แต่จริงๆ เอ๋ผกากลัวไวน์หก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เครื่องตกอ่ะไม่กลัว กลัวของกินตรงหน้าตกกระจาย ... ขากลับสั่งผัดหมี่เนื้อ กินบิบิมบับมาจุกแล้ว ก็อร่อยดีนะ ไม่จืดชืด ไม่ต้องปรุง ของว่างเป็นไอติมชีสเค้ก อันนี้อร่อยมากอ่ะ อ้อ เที่ยวนี้เค้ามีของว่างให้อีกรอบประมาณ ชม. นึงก่อนเครื่องลง สงสัยเพราะเครื่องดีเลย์เลยเอามาขอโทษ จัดพิซซ่าไปอันนึง อิ่มตื้อ 

โดยรวมแล้ว ชอบบริการ Korean Air นะ ใส่ใจดีทั้งภาคพื้น ทั้งบนเครื่อง แอร์คอยเดินดูตลอดว่าจะเอาอะไร คนป่วยข้างๆ เค้าก็คอยเอาน้ำอุ่น+ทิชชู่มาให้ เจอคนแก่ก็นอบน้อมนั่งลงกับพื้นพูดด้วย แอร์สวยมาก สจ๊วตหน้าไม่ศัลย์ก็หล่อจ๊ะ ยิ่งตอนขากลับหล่อระดับเล่นละครเป็นพระรองได้เลยอ่ะ >//<  จัดว่าคุ้มเงินที่จ่ายไปแล้วล่ะ 





มาถึงสิงคโปร์ตอนเกือบๆ ตีหนึ่ง คนล้นหลาม ตม.แน่นเลย ไม่เคยเจอ ตม.แน่นขนาดนี้มาก่อน คงเพราะเป็นเวลาที่เที่ยวบินไกลๆ จะลงเวลานี้พอดี ... รถไฟฟ้าหมดแล้ว รอต่อแถวแท็กซี่นานมาก เพราะคนเป็นพันแต่มีแถวแท็กซี่ 10 แถว ... คงไม่มีที่ไหนแท็กซี่เยอะเท่ากรุงเทพฯ สินะ ... ถึงบ้านเกือบตี 2 และเช้าป่วยลุกไม่ขึ้น ติดหวัด ผญ.ข้างๆ มาเต็มๆ ลาป่วยอีกวัน TT

จบแล้วจ้า ทริป 5 วันที่มีความสุขตลอด แต่ละวันเดินเยอะมาก เที่ยวแต่เช้ายันดึก สนุกดี ได้เห็นว่าจริงๆ แล้วคนเกาหลีใช้ชีวิตยังไง ผู้คนเป็นยังไง ชอบนะ ... คนเกาหลีถึงจะหน้าบึ้งๆ เสียงดัง โผงผางบ้าง แต่ใจดี ที่ประทับใจที่สุดคือคนพูซาน อาจุมม่าน่ารักดี ไม่พูดอังกฤษแต่พยายามสื่อสารสุดฤทธิ์ คนโซลอาจจะดูเครียดๆ ตามภาษาเมืองหลวง แต่ก็ชอบโดยเฉพาะที่ช้อปปิ้ง อิอิ ... ผญ โซล สวยๆ เยอะ หน้างี้เนียนเลย (ศัลย์บ้างประปราย แต่เอ๋ผกาไม่ถือ เพราะนางก็ศัลย์ ^^) ห้องน้ำเต็มไปด้วยสาวๆ ยืนแต่งหน้า รู้สึกว่าเอ๋ผกาไม่ผิดเหล่าผิดกอก็ที่นี่แหล่ะ ฮ่าๆๆ เพราะ ผญ ในสิงคโปร์เค้าไม่ค่อยแต่งหน้าน่ะ การเติมแป้งในห้องน้ำดูจะแปลกตา ... ส่วน ผช. ต่อให้ไม่ศัลย์ก็บอกเลยว่าหน้าตาดีกว่า ผช.สิง มาเลย์ ปิโน อินโด อินเดีย จ้า!!! คือเอ๋ผกา ชีวิตอับเฉาแวดล้อมด้วยผู้หน้าเหียกว่างั้น ฮือๆๆๆๆ  ... ส่วนอาหาร ไม่ต้องพูดถึง อร่อยทุกมื้อ เสียดายที่กินได้แต่อาหารจานเดียว ถ้ามาหลายคนคงได้กินตัวกลม กลิ้งขึ้นเครื่องบินแน่ๆ  

ใครจะแอนตี้ประเทศนี้ เอ๋ผกาไม่รู้ ชั้นชอบของชั้นก็แล้วกัน ... แล้วจะกลับไปใหม่นะ เกาหลี ...